Episoder
-
อดทน เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อไม่มีคำว่าอดทนไปไม่รอด ไม่รอดจริงๆ หลวงพ่อเป็นคนที่อดทนมาก เรียนกับท่านพ่อลี ท่านให้ทำอานาปานสติ ทำทุกวัน ทำแล้วไม่รู้จะไปต่ออย่างไร ก็ยังทำอยู่อย่างนั้น 22 ปีก็ยังทำอยู่ พอมาเจอหลวงปู่ดูลย์ ท่านสอนให้ดูจิต หลวงพ่อดูทุกวัน ดูทั้งวันที่ดูได้ ตอนไหนดูไม่ได้ เห็นอยู่ 2 ตอน ตอนนอนหลับไม่ต้องดู ถ้าดูแล้วไม่หลับ กับตอนที่ทำงานที่ต้องคิด ถ้าไม่ใช่เวลานอนหลับไม่ใช่เวลาที่ทำงานที่ต้องคิด หลวงพ่อมีสติอ่านจิตใจตัวเองตลอดเลย นักปฏิบัติคือนักรบ สงครามครั้งนี้ไม่ใช่สงครามธรรมดา มันสงครามล้างชาติ ไม่ใช่สงครามล้างเผ่าพันธุ์ เป็นสงครามล้างชาติ คือล้างความเกิดไม่ให้เหลือต่อไป ฉะนั้นสงครามนี้สงครามใหญ่ อย่าทำอ่อนแอ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 ธันวาคม 2567
-
Manglende episoder?
-
สิ่งที่สำคัญก็คือเรื่องของสติปัฏฐาน ถ้าเรารู้จักวิธีการปฏิบัติในสติปัฏฐาน อยู่ที่ไหนเราก็ทำของเราเอง ไม่ต้องยุ่งกับคนอื่น ไม่ต้องถามใคร สติปัฏฐานเป็นทางสายเดียวที่จะทำให้เราเข้าใจธรรมะ เข้าถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ไม่มีเส้นทางที่สอง สติปัฏฐานนั้นเราต้องพึ่งตัวเองเรียนรู้ตัวเอง อย่าหวังพึ่งคนอื่น อย่าหวังพึ่งกระทั่งครูบาอาจารย์ ต้องเดินด้วยตัวเองให้ได้ เราไปหาครูบาอาจารย์ ไปฟังวิธีปฏิบัติ รู้วิธีปฏิบัติแล้วต้องลงมือทำเอา อย่าทอดทิ้งการปฏิบัติ ให้ใจเราอยู่กับธรรมะ ธรรมะก็จะอยู่กับเรา ใจเราทิ้งธรรมะ ธรรมะก็ไม่อยู่กับเรา ไม่มีใครเป็นเพื่อนคู่ชีวิตเราได้ตลอดหรอก มีแต่ธรรมะเป็นเพื่อนคู่ชีวิตเราตลอด อยู่กับธรรมะจนวันตาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วท่านบอกว่า ท่านมีธรรมะเป็นสรณะ ขนาดพระพุทธเจ้ายังเอาธรรมะเป็นสรณะเลย ไม่ใช่เอาคนนั้นคนนี้เป็นสรณะ ฉะนั้นพยายามพัฒนา รักษาศีล ทำสติปัฏฐานไป แล้วเราจะเข้าถึงธรรมะ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 ธันวาคม 67
-
สติที่แท้จริง ความหมายอันนี้คือสัมมาสติ ไม่ใช่สติธรรมดา สัมมาสติเกิดจากการเจริญสติปัฏฐาน ไม่มีวิธีอื่น ขั้นแรกเลยเราต้องมีวิหารธรรม วิหารธรรมแปลว่าเครื่องอยู่ของจิต ไม่ต้องหาว่าอันไหนเป็นวิหารธรรม ไม่ต้องคิดเอง พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ให้แล้ว สอนไว้ให้แล้ว ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็มี มหาสติปัฏฐาน เป็นชื่อพระสูตร สติปัฏฐานมีหลายสูตร ก็มีสติปัฏฐานย่อยๆ สติปัฏฐานเต็มภูมิเลยก็เรียกมหาสติปัฏฐาน วิธีฝึก เราจะต้องมีเครื่องอยู่ให้จิตอยู่ เครื่องอยู่ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ อันแรกเลยเรื่องกาย อันที่สองเรื่องเวทนา คือความรู้สึกสุขทุกข์ อันที่สามเรื่องจิต อันนี้จิตที่เป็นกุศลอกุศลทั้งหลาย อีกอันหนึ่งคือธัมมานุปัสสนา อันนี้กว้างขวางมากเลย ยังไม่ต้องเรียนก็ได้ เบื้องต้นเอาของง่ายๆ เรียนเรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิต พวกนี้ง่าย หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 พฤศจิกายน 2567
-
เวลาเราภาวนาก็ต้องค่อยสังเกตไป อะไรที่ภาวนาไปแล้วมันขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้า สภาวะอะไรเกิดขึ้นนี่เป็นไปเพื่อความปล่อยวางหรือเพื่อความยึดถือ สภาวะทั้งหลายตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ไหม ถ้าภาวนาแล้วไม่เข้าหลักไตรลักษณ์ ผิดแน่นอน หรือที่เราปฏิบัติอยู่นี่เป็นสมถะ หรือเป็นวิปัสสนาต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกเราก็หลงทำสมถะอยู่ แล้วเราก็คิดฟุ้งซ่านไป แล้วบอกเราเกิดปัญญา อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ หรือบางทีเดินปัญญามากสมาธิไม่พอ อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ ต้องสังเกตตัวเอง ไม่ต้องรอถามครูบาอาจารย์ นานๆ จะมีโอกาสถามครูบาอาจารย์สักครั้งหนึ่ง แต่สติปัญญามันอยู่กับตัวเราทุกวัน อาศัยสิ่งที่อยู่กับตัวเรานี่ล่ะ คอยสังเกตสิ่งที่เราทำอยู่นี่ ทำให้อกุศลลดลงไหม ทำให้อกุศลเกิดยากขึ้นไหม ทำให้กุศลเกิดบ่อยไหม เกิดแล้วถี่ขึ้นๆ ไหม หรือนานๆ เกิดที นี่วัดใจตัวเอง สังเกตไป ดูไปเรื่อยๆ การสังเกตกิเลสเป็นเรื่องสำคัญ ภาวนาแล้วสังเกตกิเลสออกนี่ดีมากๆ เลย ในเบื้องต้นจิตใจเรามีกิเลสอะไร เราคอยรู้ ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแล้วดับ ต่อไปพอเราเข้าใจธรรมะ ตรงที่เราคิดว่าเราบรรลุมรรคผล เราก็จะวัดว่าบรรลุจริงหรือไม่จริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 ธันวาคม 2567
-
เราภาวนาเรื่อยๆ เราก็เห็นสุขเกิดแล้วสุขก็ดับ ทุกข์เกิดแล้วทุกข์ก็ดับ กุศลเกิดแล้วกุศลก็ดับ อกุศล โลภ โกรธ หลงเกิดแล้วมันก็ดับ จิตที่ไปดูรูปเกิดแล้วก็ดับ ตรงนี้ละเอียด ละเอียดกว่าที่จะรู้จิตสุขจิตทุกข์จิตดีจิตชั่ว คือเห็นจิตมันเกิดดับทางอายตนะทั้ง 6 จิตเกิดที่ตาดับที่ตา จิตเกิดที่หูดับที่หู จิตเกิดที่จมูกดับที่จมูก เกิดที่ลิ้นดับที่ลิ้น เกิดที่ร่างกายดับที่กาย จิตเกิดที่ใจก็ดับที่ใจ จิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตไม่ได้มีดวงเดียว หัดภาวนาทีแรกเรารู้สึกจิตมีดวงเดียว แล้วก็เที่ยวร่อนเร่ไปทางทวารทั้ง 6 คิดว่าจิตมีดวงเดียว ดวงนี้หลงไปดูพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมา มันหลงไปฟังพอรู้ทันมันก็วิ่งกลับมาเข้าฐาน เห็นจิตเหมือนตัวแมงมุม เดี๋ยวก็วิ่งไปข้างซ้ายเดี๋ยวก็วิ่งไปข้างขวา เดี๋ยวขึ้นข้างบนเดี๋ยวลงข้างล่าง แมงมุมมีตัวเดียววิ่งไปวิ่งมา พอเราภาวนาละเอียดเข้าๆ เราเห็นจิตเกิดที่ไหนก็ดับที่นั้น จิตเสวยอารมณ์อันไหนก็ดับพร้อมอารมณ์อันนั้น เกิดดับไปด้วยกัน มันถี่ยิบขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 30 พฤศจิกายน 2567
-
อ่านใจตัวเองให้ออก อ่านใจตัวเองได้ เราจะพบว่าการปฏิบัติไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราเห็นจิตมันทำงาน แต่กว่าจะเห็นตัวนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ฝึกกันนานพอสมควร บางคนฝึกเท่าไรก็ไม่เห็น ความคิดปิดบังสภาวะทั้งหลายเอาไว้หมด คิดเอาๆ ไม่มีวันเข้าใจธรรมะ บางทีเรียนมากไป แล้วเวลาลงมือปฏิบัติความคิดมันแทรกเยอะเลย คอยคิดนำไปเรื่อยๆ สภาวะอันนี้ชื่ออย่างนี้ ทำงานอย่างนี้ ทำแล้วมีผลเป็นอย่างนี้ สภาวะอันนี้เกิดขึ้นมาเพราะอะไร คอยคิดเอา คิดนำ แล้วไม่เห็นสภาวะจริงๆ ไม่เห็นสภาวะแล้วคิดๆ เอา สิ่งที่ได้ก็แค่ความสงบสบายใจ นึกว่ารู้แล้วจิตใจมันจะมีความสุข แต่มันล้างกิเลสไม่ได้จริง ดูสภาวะให้เป็น ดูให้ได้ เราจะเห็นสภาวะได้ ถ้าจิตเรามีกำลังพอ ตั้งมั่นขึ้นมา แล้วก็จะเห็นสภาวธรรม ทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรมทั้งหลายเป็นของถูกรู้ถูกดู เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อันนั้นล่ะคือการปฏิบัติที่มีสาระแก่นสารอย่างแท้จริง ถ้ายังคิดๆ เอาก็แค่นั้น ได้แต่ความสงบสบายใจ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 17 พฤศจิกายน 2567
-
วันนี้หลวงพ่อนิมนต์หลวงปู่สุจินต์มา ให้พวกเราได้กราบไหว้ ได้พบ ได้เห็น เป็นบุญ การเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสมณะที่เป็นสมณะ หลวงปู่สุจินต์เป็นลูกศิษย์ สมัยตอนท่านเป็นฆราวาส ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงปู่หลุย แล้วก็มาบวชกับหลวงปู่ดูลย์ มาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ ตั้งอกตั้งใจภาวนา เป็นตัวอย่างของนักต่อสู้ที่แท้จริง ท่านบวช ท่านสู้กับตัวเอง ไม่ได้สู้กับคนอื่น บางคนบวชแล้วก็ไปสู้คนอื่น แย่งชิงอะไรกัน ก็ได้ผลอย่างที่ควรจะได้ ท่านที่ต่อสู้กับตัวเอง ท่านก็ได้ผลอย่างที่ควรจะได้ของท่านแล้ว ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่บวช หลวงพ่อเจอท่านตั้งแต่ปี 2526 เจอในวัดสาขาของหลวงปู่ดูลย์ พอเห็นแล้วก็พบว่า ท่านเป็นผู้มั่นคง แน่วแน่ เด็ดเดี่ยวในการฝึกตัวเอง มีช่วงหนึ่งท่านลงมาอยู่ที่ปทุมธานี อยู่ในท้องนาโล่งๆ มีแต่กฏิ แล้วก็เป็นพื้นดินว่างๆ เลย หลวงพ่อไปกราบท่าน พอไปถึงที่หลวงปู่สุจินต์ท่านอยู่ โอ้โห ท่านเดินจงกรมอยู่กลางแดด ตอนเที่ยง ตอนบ่ายนี้ล่ะ ผิวหนังท่านลอกเป็นแผ่นๆ โดนแดดเผา หลวงพ่อเห็นหลวงพ่ออุทานเลย โอ๊ย หลวงพี่ทำไมภาวนาลำบาก ภาวนาแล้วมันทุกข์ขนาดนี้ ท่านบอกว่าท่านทุกข์เพื่อจะพ้นทุกข์ เพื่อจะไม่ทุกข์ นี่ประโยคเด็ดเลย ท่านทนยอมทนทุกข์ เพื่อวันหนึ่งจะได้ไม่ทุกข์ ของเรากลัวทุกข์ เราแสวงหาความสุข เราก็เลยทุกข์ไปเรื่อยๆ ไม่พ้นหรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 16 พฤศจิกายน 2567
- Vis mere