Folgen

  • Fehlende Folgen?

    Hier klicken, um den Feed zu aktualisieren.

  • ฝ่าความเหงาในช่วง Social Distancing

    เราสามารถยอมรับได้ว่าเราเหงา แต่ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองด้วยว่า ในยามปกติเราได้ละเลยอะไรในเรื่องของปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ บ้าง

    พี่ฟ้าได้กลับไปคุยกับครอบครัวในเรื่องอื่น นอกจากเรื่องงานได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังได้คุยกันในไลน์กับทีมงาน เล่นเกมสนุก ๆ กันในไลน์เพื่อให้หายเหงา เพราะพอพี่ฟ้าบอกว่าเหงา หลาย ๆ คนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหงาเหมือนกัน

    ถามตัวเอง ว่าช่วงเวลาที่เราเหงา เราต้องการอะไรมากที่สุด และทำมัน (สถานการณ์นี้เราไ่ม่สามารถไปเจอใครได้ ก็ใช้เป็นการติดต่อทางไลน์ หรือโทรไป)

    หรือทำสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้คนที่สำคัญกับเราทราบว่าเขายังสำคัญอยู่ เช่น สั่งอาหารไปส่งให้เขา สั่งเจลแอลกอฮอล์ไปให้เขาใช้ เป็นต้น

  • ความเครียดในช่วงนี้ที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่แน่นอน โดยเฉพาะปีนี้ที่รุนแรงมากขึ้นจากปีก่อน และเมื่อเกิดสถานการณ์ดังกล่าว ระบบของมนุษย์จะมีทางเลือกคือ Fight or Flight สำหรับพี่ฟ้า เลือกที่จะลงมือทำเพื่อแก้ปัญหา

    สิ่งแรกที่ทำคือการปรับตัว ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง (ความรู้สึกหน่วง ๆ หนัก ๆ เครียด ๆ นั้น พี่ฟ้าเองก็เจอ แต่ก็ต้องแยกแยะสิ่งที่ควบคุมได้กับควบคุมไม่ได้ให้ออก และทำสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น ควบคุมตัวเองให้ได้เต็มที่

    เราต้องยอมรับว่าเราก็คือมนุษย์ เหนื่อยเป็น เครียดเป็น แต่เราต้องควบคุมตัวเองได้ โดยมีวินัยในการใช้เวลาของเรา เช่น พี่ฟ้าออกกำลังกายตอนเช้า ตอนเย็นทำสมาธิ หรือยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น

    อีกสิ่งหนึ่งคือยังมีคนที่ลำบากกว่าเรา เช่น ตอนนี้เราได้ Work From Home คนอื่น ๆ อีกหลายคนยังไม่สามารถทำแบบนั้นได้

    เทคนิคที่แนะนำ
    1. วางแผนเวลาล่วงหน้า ว่ากี่โมง ต้องทำอะไร
    2. การเลือกเสพข่าว ให้มั่นใจได้เลยว่า ถ้าข่าวนั้นสำคัญจริง ๆ เดี๋ยวก็มีคนมาบอกเราเอง

  • เราจะบริหารความคิดของเราอย่างไรเมื่อเจอวิกฤต

    1. แบ่งความคิดของเราออกเป็น Timeline เช่น สิ่งใกล้ตัว สิ่งไกลตัว ว่าสิ่งที่เราคิดอยู่นี้มีผลกระทบกับเราเมื่อไหร่ อย่างเช่น ตอนนี้ฝนตก มันจะมีผลกระทบกับเราทันทีที่เราออกไปข้างนอก เราก็จะเตรียมตัวได้

    2. คิดล่วงหน้าและวางแผนได้ เช่น วางแผนรายปี ราย 3 ปี เป็นต้น

    การจะวางแผนล่วงหน้าได้ เกิดจากการคิดวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น เกิดวิกฤติ Covid ตอนนี้ ปีหน้าจะเกิดอะไรได้บ้าง เป็นต้น

    แต่การคิดถึงอนาคตที่ไกล หลาย ๆ ครั้งจะมีช่องว่างทำให้เราคิดผิดได้เยอะ หรือการปักใจเชื่อสิ่งใดมากเกินไป ก็จะทำให้เราเสียเวลาไปฟรี ๆ

    สิ่งที่เราควรต้องทำคือ เตรียมตัวรับมือโดยให้ทำตัวให้กว้าง พร้อมรับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ โดยอิงจากการประมวลผลข้อมูลปัจจุบัน และข้อมูลที่อาจจะมีในอนาคต 

 การคิดอย่างมีระบบทำให้เราสามารถที่จะคิดถึงข้อมูล หรือความเป็นไปได้อื่น ๆ ที่ยังไม่เกิดและอาจจะเกิดได้ในอนาคต

  • Start your day
    ทุกอย่างเริ่มต้น...เมื่อเราตื่นนอน

    การกด snooze นาฬิกาปลุกไปเรื่อย ๆ จะเป็นการสร้างนิสัยการยอมไปเรื่อย ๆ และอาจจะไปถึงการยอมตัวเองไม่ไปออกกำลังกายเพราะเหนื่อยทำงานมาแล้ว

    เราควรฝึกฝนให้ร่างกายตื่นเองเป็นกิจวัตร แต่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เพื่อเป็น back up เท่านั้น

    ตั้งคำถามต่อตัวเองว่า ตื่นมาวันนี้ทำไม และพูดกับตัวเองเพื่อให้ได้ยินเสียงตัวเองและเป็นการเน้นย้ำให้ตัวเราเข้าใจ

  • 1. สภาพจิตใจ เน้นใช้ปรัชญา Stoic คือเรื่องที่เราสามารถทำได้ คือการโฟกัสสิ่งต่าง ๆ ที่เราควบคุมได้ เบื้องต้นคือการควบคุมตัวเองให้ได้ เป็นคนมีวินัยมากขึ้น สิ่งที่ควรทำคือวางแผนว่าเวลาไหนควรทำอะไร

    สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดคือเอาเวลาไปเล่นในเวลางาน เพราะเราเครียดจากข่าวสารต่าง ๆ เลยต้องผ่อนคลาย

    - ตื่นมาตอนเช้า ควรตื่นตามปกติ ไม่ตื่นสาย เอาเวลามาพัฒนาตัวเอง เช่น ฝึกภาษา
    - ออกกำลังกาย
    - การวางแผนทั้งวันว่าจะต้องทำอะไรให้เสร็จบ้าง

    2. การมีอิสรภาพในการทำงานมากไปก็จะเป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้เราพัฒนาตัวเองได้เช่นกัน ดังนั้นต้องมีวินัยกับตัวเองเหมือน หรือยิ่งกว่าตอนไปทำงานที่ออฟฟิศ

  • พักสมอง แล้วมาฝึกทักษะการจำ
    พัฒนาทักษะเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

    1. เรียนผ่านการมองเห็น
    2. เรียนผ่านการฟัง
    3. เรียนผ่านการทำตาม

    เทคนิคการจำชื่อคน
    1. เมื่อทราบชื่อเขาแล้ว ระหว่างสนทนา ควรทวนชื่อเขาประมาณ 3 - 5 ครั้งในบทสนทนาครั้งแรกเพื่อให้เราจำชื่อได้
    2. จดชื่อในสมุด หรือโทรศัพท์ แล้วก็หาสิ่งที่เป็นคาแรคเตอร์ของคน ๆ นั้นจดคู่ไปด้วย
    3. จดว่าเราเคยเจอคน ๆ นั้นที่ไหน หรือในสถานการณ์อะไร
    4. เลิกพูดคำว่าเราจำชื่อคนไม่เก่ง เพื่อให้ร่างกายเราไม่คุ้นชินกับการไม่จำชื่อคน

    จากหนังสือ Remember it เขียนโดย Nelson Dellis แนะนำเรื่องการ hack สมองเราให้จำได้มากขึ้น คุณสามารถใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนได้ด้วย (Sensory Overload) นอกจาก 3 ข้อด้านบน ซึ่งได้แก่ รสชาติ กลิ่น ในการช่วยจำ

    1. Sensory Overload ให้เราจินตนาการตามว่าสิ่ง ๆ นั้นทำให้เรารู้สึกอย่างไร ได้กลิ่นอย่างไร ได้ยินอะไร มีรสชาติอย่างไร เช่น พูดถึงป้าแดงขายข้าวหมูแดง สิ่งแรกที่เราเห็นคือ คุณป้าใส่ผ้ากันเปื้อน ได้กลิ่นข้าวหมูแดง จินตนาการได้ถึงเสียงสับหมู และรสชาติน้ำข้าวหมูแดง เป็นต้น

    2. Protest Absurdity เช่น ข้าวหมูแดงชิ้นใหญ่เท่าบ้าน กลิ่นหึ่ง (ใช้การทำให้เว่อร์วังเกินเบอร์) ทำให้จำได้ไม่ลืม

    3. Movable Attribute คุณลักษณะที่เคลื่อนไหวได้ เช่นเห็นเป็นภาพการ์ตูน หมูวิ่งได้ ป้าแดงวิ่งไล่สับหมู เป็นต้น

  • ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จเริ่มต้นง่ายๆด้วยการทำให้ร่างกายเราแข็งแรง

    ถ้าความสำเร็จหรือความฝันของเราเปรียบเหมือนปลายทาง "ร่างกายของเราก็เหมือนรถ"
    ถ้ารถเรามีปรสิทธิภาพที่ดี เราจะสามารถไปถึงปลายทางได้อย่างรวด้ร็วและมีความสุข

    หลายคนคิดว่าการไปสู่ความสำเร็จ ร่างกกายเป็นเรื่องที่รอได้ เลยนำการทำงานเป็นตัวตั้ง รู้ตัวอีกที ร่างกายพังไปแล้ว ใช้ชีวิตประจำวันได้แบบไม่ 100%

    แต่จริงๆแล้วถ้าคุณ คือคนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต
    "การดูแลร่างกายให้แข็งแรง คือหน้าที่อันดับที่หนึ่งที่คุณต้องทำ"
    เพราะการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คือ Number 1 priority

  • ปัญหาที่หลายคนมักจะเจอ นั้นก็คือง่วงละหว่างวัน

    พอกันทีกับวงจรแบบนี้ กินแล้วตื่นได้แปปเดียว ต้องหาขนมกินระหว่างวันเพราะง่วง

    เรื่องของความง่วง เป็นเรื่องที่ถ้าเราสามารถปรับได้ จะทำให้เราสำเร็จในชีวิตได้เร็วขึ้น

    เพราะถ้าเราไม่ง่วงเราจะสามารถ ทำงานได้มากขึ้น มีไอเดียดีๆ เยอะขึ้น มูลค่าต่อวันที่สามารถสร้างได้ก็เยอะขึ้น เพราะฉะนั้น คุ้มค่าที่เราจะปรับครับ

    อย่างแรกคือเรื่องของการปรับการนอน
    อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การปรับการกิน
    เริ่มจากปรับมื้อเช้าโดย
    -เพิ่มโปรตีน
    -ลดน้ำตาล
    -เพิ่มผักผลไม้และไขมันดี

    ปรับมื้อเที่ยง
    -เลี่ยงน้ำตาล

    ปรับมื้อเย็น
    -ไม่กินก่อนนอน

    อาหารดีๆเหล่านี้จะช่วยพัฒนาร่างกายของคุณ และทำให้คุณสามารถเปลี่ยนร่างกายให้สร้างผลงานได้มากขึ้น

    แต่ปัญหาคือ อาหารปกติที่เรากินในแต่ละวันมันกลับตรงกันข้าม ทั้งโปรตีนน้อย แป้งเยอะ และน้ำตาลสูง ทำให้เกิดอาการง่วงระหว่างวัน ทำให้ส่งผลต่อเรื่องๆต่างๆในชีวิต

    ในepisode นี้พี่ฟ้าใสมีเทคนิคดีๆในการเอาชนะความง่วงมากฝาก