Episodes
-
Missing episodes?
-
จิตมันเป็นตัวทุกข์ มันอยู่ในกองทุกข์ ในขันธ์ 5 ส่วนใหญ่เป็นตัวทุกข์ ยกเว้นตัวโลภะอย่างแรงๆ เป็นตัวสมุทัย เป็นตัณหา นอกจากนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นตัวทุกข์ จิตก็เป็นตัวทุกข์ ถ้าเรารู้แจ้งแทงตลอดว่าจิตเป็นตัวทุกข์ เรียกว่ารู้ทุกข์แจ่มแจ้ง เราก็ละสมุทัย ละความอยาก เมื่อละความอยากได้ เราก็ละความยึดถือจิตได้ เมื่อเราละความยึดถือจิตได้ ภพคือความดิ้นรนที่จะแสวงหาจิต หรือที่จะปล่อยวางจิต หรือที่จะรักษาจิต มันก็ไม่มี พอเราหมดความยึดถือจิต มันก็ไม่มีการที่จะต้องเที่ยวแสวงหาจิต ไม่มีการรักษาจิต ไม่มีความพยายามจะต้องปล่อยวางจิต เมื่อเราไม่มีความดิ้นรนของจิต คือไม่มีภพ จิตก็จะไม่หยิบฉวยจิตขึ้นมา คือไม่มีชาติ ทันทีที่ไม่มีชาติ ความทุกข์ก็ไม่เกิดขึ้น สิ้นชาติก็สิ้นทุกข์กันตรงนั้นล่ะ เพราะชาติคือการหยิบฉวยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไม่ใช่ของดีของวิเศษ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจคือตัวทุกข์ ถ้าเราภาวนาจนเราแจ้งตรงนี้ เรียกว่าเราล้างอวิชชาได้แล้ว รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจแล้ว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 28 เมษายน 2567
-
ตัวผู้รู้เราก็ไม่รักษา แต่มันต้องพัฒนาให้มีขึ้นมาเพื่อใช้งาน เราก็จะเห็นว่าตัวผู้รู้เองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ อย่างจิตเราโกรธ พอเรารู้ว่าโกรธ จิตโกรธดับ จิตผู้รู้เกิด มีอารมณ์มากระทบทางหู มีเสียงเพลงเพราะๆ จิตเกิดราคะขึ้น สติระลึกรู้ จิตที่มีราคะก็ดับ จิตที่รู้ก็เกิด จิตรู้มันจะคั่นจิตที่หลง นานาชนิด มันจะมีตัวรู้แทรกๆๆๆ เข้ามา แล้วมันก็จะทำให้เราเห็นว่า จิตมีราคะอยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ จิตสุข จิตทุกข์ อยู่ชั่วคราวแล้วก็ดับ เราจะเห็นอย่างนี้ แล้วเราก็เห็นลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง จิตผู้รู้เองก็เกิดดับ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปดูรูป เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ เดี๋ยวก็หลงไปฟังเสียง ไปดมกลิ่น ไปลิ้มรส ไปรู้สัมผัสทางกาย ไปคิดนึกทางใจ เห็นมันเกิดดับอยู่ทางทวารทั้ง 6 พอมันกระทบอารมณ์ทางทวารทั้ง 6 แล้ว มันก็จะเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศลขึ้นมา ค่อยๆ มีสติตามรู้จิตของตัวเองไปเรื่อยๆ ทีแรกเราก็สามารถแยกจิตกับเจตสิกออก เราก็เห็นจิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตชั่ว ล้วนแต่เกิดแล้วดับทั้งสิ้น พอสติเราเข้มแข็ง เราก็เห็นจิตผู้รู้ก็เกิดดับ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้อยู่เฉยๆ เดี๋ยวก็เป็นผู้รู้ที่มีความสุข ผู้รู้มีอารมณ์ มีความรู้สึก มีเวทนา เกิดร่วมกับจิตผู้รู้ 2 ชนิด คือ โสมนัสเวทนา คือความสุข กับอุเบกขา เพราะฉะนั้นบางทีเราฝึกมา จิตเราเป็นผู้รู้ บางทีเป็นผู้รู้เฉยๆ มีอุเบกขา บางทีก็มีความสุขแทรกขึ้นมาพร้อมๆ กัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 เมษายน 2567
-
คนในโลกจะติดในสิ่งเหล่านี้ เรียกอุปาทาน มี 4 อัน อันหนึ่งเรียกกามุปาทาน ติดในความสุขความสบาย อยากได้ อีกอันหนึ่งเรียกทิฏฐุปาทาน ติดในความคิดความเห็น ในลัทธิ ในอุดมการณ์ อย่างกามุปาทาน อยากได้วัตถุสิ่งของมากมาย ก็ไปแย่งชิงคนอื่นเขา ระหว่างประเทศก็ไปทำสงคราม แย่งแผ่นดินกัน แย่งผู้คนกัน สมัยโบราณ แย่งผู้คน เดี๋ยวนี้แย่งทรัพยากร เพราะว่าเพราะกาม พวกหนึ่งก็ฆ่ากันตายด้วยอุดมการณ์ เพราะยึดอุดมการณ์ยึดความคิดความเห็น อย่างหยาบๆ ที่ไม่รุนแรงมาก อย่างเรายึดความเห็นของเรา ใครเห็นต่างกับเรา เราโมโห ยึดในทิฏฐิ สิ่งที่ยึดอีกอันหนึ่งก็คือ ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล จะตัดสินทุกอย่าง ด้วยตัวเองทั้งหมดเลย เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง มองทุกอย่างด้วยสายตาของตัวเอง เรียกอัตตวาทุปาทาน เอาอัตตาตัวตนนั่นล่ะเป็นสำคัญ อีกอันหนึ่งคือสีลัพพตุปาทาน ยึดในข้อประพฤติข้อปฏิบัติ ต้องทำอย่างนี้ ถึงจะดี อย่างอื่นไม่ดี หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 21 เมษายน 2567
-
ฝึกกันนานกว่าจิตจะมีกำลังตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่ถ้าเราจะทำพอเป็นนิสัย เรียกพอเป็นนิสัย ก็ทำบ้างหยุดบ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำไปเรื่อยๆ สะสมไปหลายๆ ชาติ ต่อไปพระเมตไตรยมาตรัสรู้ เราก็ไปเรียนกับท่าน แล้วนิสัยอ่อนแอโหลยโท่ยอย่างนี้ ไปเจอพระศรีอาริย์ มันก็นิสัยเหลวไหลเหมือนเดิม อันนี้ไม่ใช่หลวงพ่อพูด ครูบาอาจารย์ท่านเคยเล่า บอกบางคน บอก โอ๊ย ค่อยๆ ทำไปนิดๆ หน่อยๆ สะสมเอาไว้ เดี๋ยวไปเจอพระศรีอาริย์ค่อยเอาจริง หลวงปู่ดูลย์บอก คนชนิดนี้มันไม่เอาจริงหรอก มันเหลวไหลตั้งแต่ชาตินี้ เจอพระศรีอาริย์มันก็เหลวไหลอีก เพราะมันเคยแต่เหลวไหล เพราะฉะนั้นเราจะผ่านพระพุทธเจ้านับจำนวนไม่ถ้วน ที่เราเวียนว่ายตายเกิดมายาวนานขนาดนี้ ผ่านพระพุทธเจ้ามานับจำนวนไม่ถ้วน ก็เพราะนิสัยเหลวไหลนี่ล่ะ นิสัยไม่สู้ ยอมให้กิเลสมันลากมันจูงเราไป มันต้องสู้ ต้องสู้ ยอมลำบากเสียก่อนแล้วสบายทีหลัง บอกเลยว่าภาวนาแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้มันมหาศาล มันมีความสุขที่ไม่มีอะไรเหมือน ความสุข มันมีความสงัดอยู่ภายใน ไม่ใช่สงบนะ มันสงัดอยู่ข้างใน จิตมันทรงสมาธิอัตโนมัติอยู่ มันสงัดอยู่ภายใน แล้วมันก็สงบ สงบ ความสุขมันล้นเอ่อขึ้นมา โดยจิตไม่ติดมัน ถ้าจิตยินดีพอใจเมื่อไร ก็แสดงว่ายังไม่ใช่ ยังบรรลุมรรคผลไม่พอ ต้องทำอีก ก็ต้องฝึก ของฟรีไม่มี ธรรมะก็อยู่ใต้กฎแห่งกรรม ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้น ของฟรีไม่มี ของฟลุกไม่มี หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 20 เมษายน 2567
- Show more