Episodes
-
ไปหัดอ่านจิตตัวเอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์เหมือนคนทั่วไป กระทบแล้วก็เกิดความรู้สึกเหมือนคนทั่วๆ ไป ที่ต่างกับคนทั่วไป คือความรู้สึกอะไรเกิดขึ้น จิตใจเราเป็นอย่างไร รู้เข้ามาตรงนี้ แค่นี้ล่ะ ที่ไม่เหมือนชาวบ้านเขา ตรงนี้ล่ะเป็นธรรมะข้ามโลก ไม่อย่างนั้นมันก็หลงอยู่กับโลก หลงอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสอะไรเพลินๆ ไปวันๆ อยู่ไปจนแก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย ตายแล้วก็กลับมาเกิดอีก วนเวียนไม่รู้จักจบจักสิ้น หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 มิถุนายน 2567
-
Episodes manquant?
-
การภาวนาก็เหมือนซักผ้า ระหว่างการทำผ้าให้สกปรกกับการทำผ้าให้สะอาด อันไหนมันยากกว่ากัน สกปรกง่าย แต่พอสกปรกแล้วจะทำให้สะอาด ก็ยากแล้ว แต่ถ้าเราอดทน เรามีผ้า เราก็ซักให้ดี เวลาจะใช้ก็ระมัดระวังไม่ให้มันเปื้อน ผ้ามันก็ดูไม่สกปรกมาก การภาวนาก็เหมือนกัน ถ้าเราซักฟอกจิตใจเราด้วยสติด้วยปัญญา ขณะเดียวกันเราก็ไม่ไปทำผิดศีล ให้มันปนเปื้อนความสกปรกเข้ามาอีก ถ้าเราไม่รักษาศีล เหมือนเราทำผ้าให้สกปรกตลอดเวลา พอถึงเวลาจะมานั่งสมาธิมาเดินจงกรมอะไรอย่างนี้ มันสู้กันไม่ไหว ทำสกปรกวันหนึ่ง 10 กว่าชั่วโมง มาปฏิบัติชั่วโมงหนึ่งแล้วก็บ่นเมื่อไรจะบรรลุมรรคผล มันเทียบกันไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 9 มิถุนายน 2567
-
ถ้าภาวนาไปเรื่อยๆ จิตรวมวูบหมดความรู้สึก อาจารย์บอกได้โสดาบัน วูบครั้งที่สองได้สกทาคามี ครั้งที่สามได้อนาคามี ครั้งที่สี่เป็นพระอรหันต์อะไรอย่างนี้ ถ้าเขาพยากรณ์อย่างนี้ เราก็ต้องเทียบกับตำรา บอกว่าได้โสดาบัน พระโสดาบันมีคุณสมบัติอะไร ก็ต้องละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ ต้องมีศีลอันงาม ไม่มีความด่างพร้อย เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ไม่มีสรณะอื่น นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณสมบัติที่ดีของพระโสดาบัน เรามาวัดใจตัวเองเลย มีไม่มี ถ้าจิตรวมวูบไปแล้วก็ เวลาคิด เวลานึก เวลาเผลอ ยังมีเราอยู่ มีเราซ่อนอยู่ มันก็ยังไม่ขาดจริง มันขาดด้วยกำลังสมาธิ แต่ไม่ได้ขาดด้วยกำลังของมรรค เวลามีสมาธิขึ้นมา ตัวตนไม่มีก็ได้ เพราะความเป็นตัวตนไม่ได้เกิดตลอดเวลา มันเกิดเป็นคราวๆ เหมือนกิเลสตัวอื่นนั่นล่ะ เพราะฉะนั้นเวลาภาวนาจิตสงบลงไป แล้วบอกไม่มีตัวตน ตอนนั้นไม่มี ออกจากสมาธิมาก็มี เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะวัดกิเลสว่าบรรลุชั้นไหนๆ ให้วัดในสภาวะที่จิตเป็นปกติของมนุษย์ธรรมดาๆ นี้ อย่าไปวัดในขณะจิตทรงฌานอยู่ อย่างถ้าเข้าไปถึงอากิญจัญญายตนะ ไม่ยึดทั้งจิต ไม่ยึดทั้งอารมณ์ ทรง มันทรงสภาพคล้ายกับนิพพานมากเลย สภาวะ แล้วก็บอกว่าเข้าถึงพระนิพพานแล้ว พอถอยออกมาก็กิเลสเหมือนเดิม พอออกมาอยู่กับโลกข้างนอกนี่ กิเลสมันก็แสดงตัวขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 8 มิถุนายน 2567
-
ที่เราปฏิบัติธรรมเราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อสิ่งอื่นหรอก จุดหมายปลายทางคือความพ้นทุกข์ เราจะพ้นทุกข์ได้ เราต้องเรียนรู้ทุกข์ เรียนรู้ให้เห็นความจริง ทุกข์อยู่ที่กายเรียนรู้กาย ทุกข์อยู่ที่จิตเรียนรู้ที่จิต เรียนรู้ไปจนเห็นความจริงของกาย เรียนรู้จนเห็นความจริงของจิต พอเห็นความจริงแล้วจิตจะเบื่อหน่าย คลายความยึดถือแล้วจิตหลุดพ้น จิตหลุดพ้นคือมันไม่ยึดถือกายมันไม่ยึดถือจิตใจ เมื่อไม่ยึดถือมันก็ไม่ทุกข์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มูลนิธิเพื่อการเผยแผ่ธรรมะภาคภาษาจีนฯ 7 มิถุนายน 2567
-
ค่อยภาวนา เริ่มจากกายก็ได้ เวทนาก็ได้ จิตก็ได้ แล้วสุดท้ายมันจะลงมาที่ปฏิจจสมุปบาท ลงมาที่อริยสัจทุกคน เพราะถ้ายังไม่ถึงรู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ยังไม่จบกิจในพระพุทธศาสนา เรียกว่ายังไม่รู้ทุกข์ ยังไม่ได้รู้ทุกข์ ฉะนั้นเราดูกายก็ได้ แล้วต่อไปเราก็เข้ามาเห็นทุกข์ได้ ดูเวทนา ดูจิตแล้วก็เข้ามาเห็นทุกข์ได้ เห็นทุกข์ก็เห็นธรรมนั่นล่ะ พอเรารู้ความจริงแจ่มแจ้ง กาย เวทนา จิต ธรรมไม่มีอะไร มีแต่ทุกข์ล้วนๆ มีแต่ของไม่เที่ยง มีแต่ของถูกบีบคั้น มีแต่ของที่อยู่นอกเหนืออำนาจบังคับ พอเห็นอย่างนี้จิตมันจะวาง พอจิตมันปล่อยวางได้ รู้ทุกข์จนมันละสมุทัยแล้ว มันก็แจ้งนิโรธ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 2 มิถุนายน 2567
- Montre plus