Episódios
-
เราต้องฝึกให้ได้ใจที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานตัวนี้ วิธีฝึกก็คือมีสติอีกล่ะ รู้ทันจิตที่มันไหลไปไหลมา ถ้ารู้ทันตัวนี้จิตมันจะนิ่งว่างขึ้นมา พอมีจิตว่างแล้วต่อไปมีความปรุงแต่งเล็กน้อยเกิดขึ้นมา เราจะเห็นได้ชัด แต่ถ้าจิตเราวุ่นวาย ความปรุงแต่งเกิดขึ้น เราไม่เห็นหรอก ใจที่ว่างๆ สบายๆ รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ความปรุงแต่งเล็กๆ เกิดขึ้น เราก็จะเห็นแล้ว เราจะรู้ทัน ความปรุงแต่งเกิดขึ้น เรามีสติรู้ ไม่ไปยุ่งกับมัน มันจะตั้งอยู่แล้วมันก็จะดับไป เราจะเห็นความปรุงแต่งมันมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ปรุงๆ แต่ความปรุงแต่งทั้งหลายเกิดแล้วดับทั้งสิ้น เวลาความปรุงแต่งเกิด เราก็แค่รู้แค่เห็น เราไม่ปรุงต่อ ถ้าใจเราสบาย ใจเราเป็นธรรมชาติธรรมดา มันประภัสสร มันผ่องใส ธรรมดา ว่างๆ แล้วมีอะไรแปลกปลอมเข้ามา มีความปรุงแต่งเกิดขึ้น เราจะเห็นความปรุงแต่งได้ชัดเจน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่ว่าพอเห็นความปรุงแต่งแล้ว อย่าหลงไปปรุงแต่งต่อเท่านั้น ใจเราเป็นกลาง เราก็จะเห็นทุกสิ่งเกิดแล้วดับทั้งสิ้น แต่ถ้าเราปรุงต่อ มันจะวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน ภาวนาไม่ได้จริง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 พฤษภาคม 2568
-
พวกเราอยากดี ต้องเข้มแข็ง อะไรที่จะทำให้เราอ่อนแอลงหลีกเลี่ยงเสีย สิ่งที่ต้องเลี่ยงมากที่สุดเลย คือการผิดศีล อย่าผิดศีล พวกเราต้องเด็ดเดี่ยว ศีล ตั้งใจสู้ตาย ให้เด็ดเดี่ยวไว้ สมาธิฝึกทุกวัน วันหนึ่งมากๆ ยิ่งดี มีเวลาเมื่อไรก็ทำ ตื่นนอนให้เร็วขึ้นหน่อย นั่งสมาธิ เดินจงกรมอะไรก็ทำ ก่อนนอนก็ต้องทำ ทำทุกวัน แต่ทำด้วยความมีสติ ถ้าขาดสติเมื่อไรเป็นมิจฉาสมาธิ พอฝึกเรื่อยๆ จิตมันจะมีแรง ทำความสงบ จิตมันจะได้กำลัง รู้เท่าทันจิต จิตจะปราดเปรียว พร้อมที่เดินปัญญา ถัดจากนั้นก็ถึงงานสุดท้าย การเจริญปัญญา ทันทีที่จิตเรามีพลังมากพอ ขันธ์มันจะแยก ถ้าจิตมีกำลังพอ สติระลึกรู้กาย ก็เห็นว่ากายกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน นี่แยกขันธ์ได้ แล้วจะเห็นร่างกายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ จิตที่ไปรู้กายก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ นี่ขึ้นวิปัสสนาแล้ว ถ้าจิตมีกำลังเกิดเวทนาทางกาย ก็เห็นว่าร่างกายก็อันหนึ่ง เวทนาทางกายก็อันหนึ่ง จิตก็อันหนึ่ง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 3 พฤษภาคม 2568
-
Estão a faltar episódios?
-
ไปทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง อะไรก็ได้ที่เราถนัด กรรมฐานทั้งหลายเท่าเทียมกันหมด แต่จับหลักให้แม่น เราไม่ได้ทำเพื่อความสงบ เพื่อความสุข เพื่อความดีใดๆ ทั้งสิ้น เราทำไปเพื่อความรู้ตื่นเบิกบานของจิตขึ้นมา คอยรู้ทันไป แล้วจิตมันจะตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นได้ ขันธ์จะแยก ขันธ์แยกได้เราก็จะเห็นไตรลักษณ์ของแต่ละขันธ์ พอเห็นความจริงว่าขันธ์ทั้งหลาย ทั้งกายทั้งใจเราล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตมันจะเบื่อหน่ายคลายความยึดถือ แล้วมันก็จะหลุดพ้น เกิดอริยมรรคอริยผล ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ จิตบรรลุมรรคผลเอง เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาของเราแก่รอบ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดศรีมหาราชา พระอารามหลวง 27 เมษายน 2568
-
เราจะภาวนา ตั้งใจรักษาศีลให้ดี 5 ข้อต้องรักษาให้ได้ ถ้าศีลเราไม่ดี ภาวนาไม่ขึ้น ไม่ใช่ขู่แล้วก็ไม่ใช่หลอกเด็ก เป็นเรื่องจริงเลย ยิ่งเป็นพระ ถ้าติดอาบัติ ภาวนาไม่ไหว เวลาภาวนา พอจิตจะรวม มันจะดีดขึ้นมา รวมไม่ได้ บางคนติดอาบัติ บางองค์ ตอนนั้นบวชอยู่ บางองค์ก็ติดอาบัติสังฆาทิเสสแล้วไม่ได้แก้ สึกไปเป็นโยม พวกนี้ภาวนายากกว่าคนที่ไม่เคยบวช คล้ายๆ มันมีกรรมติดตัวอยู่ ฉะนั้นพยายามรักษาศีลให้ดี ถ้าเรารักษาศีลได้ ธรรมะของเราก็จะเจริญขึ้น จิตใจของเราจะเจริญขึ้น บางคนบอกศีลไม่สำคัญ เจริญสติเจริญปัญญา หรือทำสมาธิ สมาธิที่เกิดนี้เป็นมิจฉาสมาธิ ใช้ไม่ได้ แล้วก็ไม่มีศีล เคยทำสมาธิได้ พอศีลเราเสีย สมาธิมัน จะค่อยๆ เสื่อมไป เวลาศีลเสีย จิตใจมันจะเศร้าหมอง สมาธิไม่เกิด ฉะนั้นตั้งใจรักษาศีลไว้ให้ดี หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 27 เมษายน 2568
-
อ่านจิตอ่านใจตัวเองได้ เราถึงจะฉลาด อ่านใจตัวเองยากไหม ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย จิตมีความสุขรู้ว่ามีความสุข จิตมีความทุกข์รู้ว่ามีความทุกข์ จิตไม่สุข จิตไม่ทุกข์ รู้ว่าไม่สุขไม่ทุกข์ จิตเป็นกุศลรู้ว่าเป็นกุศล จิตโลภ จิตโกรธ จิตหลง จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ รู้อย่างที่มันเป็นไปเรื่อยๆ จิตมีความสงบก็รู้ จิตไม่สงบก็รู้ จิตเจริญปัญญาก็รู้ ไม่เจริญปัญญาก็รู้ อันนี้ต้องละเอียดแล้ว ถ้าหัดเบื้องต้นยังไม่เห็น ถ้าเราภาวนา เราจะรู้เลย ช่วงนี้จิตเจริญปัญญา ช่วงนี้จิตมุ่งไปที่ความสงบ ช่วงนี้ไม่มีทั้งสมาธิ ไม่มีทั้งปัญญา ช่วงนี้จิตฟุ้งซ่าน เราจะอ่านตัวเองออก หัดอ่านจิตตนเองให้ออก แล้วเราจะพัฒนาในทางธรรมะได้อย่างรวดเร็ว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 26 เมษายน 2568
-
เราจะต้องรู้สึกตัว ก็คือการที่มีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว ก็คือมีสติอยู่เรื่อยๆ พยายามมีสติอยู่กับกายอยู่กับใจของตัวเองไป พอรู้สึกตัวเป็น อ่านใจตัวเองเรื่อยๆ ศีลก็จะเกิดขึ้นง่ายๆ สมาธิก็เกิดง่าย เพราะฉะนั้นเราพยายามรู้สึกตัว ฝึกให้มากแล้วศีลของเราจะอัตโนมัติ สมาธิของเราจะอัตโนมัติขึ้นมา พอเรามีสมาธิอัตโนมัติก็คือจิตใจเราตั้งมั่นแล้ว แล้วก็เป็นกลางกับทุกสิ่งทุกอย่าง จิตจะถอนตัวจากการเป็นผู้แสดงมาเป็นผู้เห็นผู้ดู พอจิตเราตั้งมั่นระลึกลงไปในร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เราแล้ว ดูลงไปทีละอันทีละอันเลย สุขทุกข์ไม่ใช่เรา ดีชั่วไม่ใช่เรา สุดท้ายเราจะเห็นว่ากระทั่งจิตก็ไม่ใช่เรา มีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ก็เห็นขันธ์ 5 ทำงาน สุดท้ายเราก็เห็นความจริง เราก็จะได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญา ปัญญาเราก็เห็นไตรลักษณ์ เสร็จแล้วมันจะเกิดวิมุตติ เมื่อศีล สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์เต็มที่มรรคผลจะเกิดเอง ไม่มีใครทำจิตให้บรรลุมรรคผลได้ จิตบรรลุมรรคผลเองเมื่อศีล สมาธิ ปัญญาบริบูรณ์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 20 เมษายน 2568
-
กรรมมีหลายระดับ มีการให้ผลที่แตกต่างกัน อย่างถ้าเป็นกรรมที่ใหญ่ๆ เรียกครุกรรม มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ถ้าเรามีครุกรรมเวลาเราจะตาย ครุกรรมจะให้ผลก่อน ถ้าเรามีกรรมที่ดีที่รุนแรง ครุกรรมฝ่ายดี เราจะไปเกิดในที่ดีแน่นอน ถ้าเรามีครุกรรมฝ่ายชั่ว ไม่ว่าเราจะเคยสร้างความดีมาแค่ไหน ครุกรรมฝ่ายชั่วจะให้ผลก่อน ถ้าเราไม่มีครุกรรม เราไม่ได้ทำอนันตริยกรรม เราไม่ได้มีสมาบัติ 8 เข้าฌานไม่ได้ มีกรรมอีกตัวหนึ่งเรียกอาจิณณกรรม กรรมที่ทำบ่อยๆ ทำจนเคยชิน เป็นนิสัย เป็นสันดาน ตัวนี้จะให้ผลจะพาเราไปเกิด จะดีหรือจะไม่ดีก็อยู่ที่อาจิณณกรรมที่เราทำ กรรมอีกตัวหนึ่งเรียกอาสันนกรรม อาสันนกรรมเป็นกรรมที่จิตเข้าไปจับในวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นจิตเข้าไปตะครุบอารมณ์ตัวนั้นพอดี ถ้าหากไม่มีครุกรรม ไม่ได้มีอาจิณณกรรมอะไรที่เด่นชัด กรรมตัวนี้จะให้ผล กรรมจะมีหลายระดับ อีกตัวหนึ่งเป็นกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยมีผลอะไร กรรมที่ไม่ค่อยสมประกอบ อย่างพวกเราทำบุญ ทีแรกเรามีศรัทธาเราอยากทำบุญ พอทำไปแล้วเกิดเสียดาย กรรมตัวนี้เป็นกรรมที่ไม่ดีไม่สมประกอบ เป็นกรรมเล็กน้อย ก็จะให้ผลถ้าไม่มีกรรมตัวอื่นให้ผล กรรมถ้ากรรมชั่วไม่ว่าเล็กแค่ไหนไม่ทำได้ดีที่สุด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดธาตุทอง พระอารามหลวง 19 เมษายน 2568
-
วิธีที่เราจะฝึกให้ได้ขณิกสมาธิ ทำกรรมฐานอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง แล้วคอยรู้สภาวธรรมที่กำลังเกิดขึ้น สภาวธรรมที่เกิดบ่อย เวลาที่เราทำกรรมฐาน เผลอกับเพ่ง 2 ตัวนี้เกิดบ่อยที่สุดเลย เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธอะไรนี้ แป๊บเดียวหนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว นี่คือสภาวะหลง หลงไปคิด เผลอไปแล้ว อีกสภาวะหนึ่ง เช่น เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ จิตเราถลำลงไปอยู่ที่ลมหายใจ นี่หลงไปเพ่ง ให้มีสติรู้ทันไป เพราะฉะนั้นทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง แล้วมีสติรู้ทันจิตไว้ แล้วเราจะได้ขณิกสมาธิ สมาธินั้นได้มาจากบทเรียนที่ชื่อว่าจิตตสิกขา เรียนเรื่องจิตถึงจะได้สมาธิที่ถูกต้อง ถ้าอยู่ๆ แล้วบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ดูสภาวะไปเลย แล้วก็เกิดขณิกสมาธิ เกิดปัญญา เกิดมรรคผล มั่วเอาเอง พูดเอาเอง คนที่พูดนั้นภาวนาไม่เป็นหรอก เห็นหน้าก็รู้แล้ว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 เมษายน 2568
-
ทุกข์คือรู้ในขันธ์ 5 ของเราตามความเป็นจริง รู้แล้วเห็นอะไร เห็นไตรลักษณ์ พอแจ่มแจ้งว่าขันธ์ 5 เรานี้ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์ ก็เป็นอันละสมุทัยได้คือหมดความอยาก ความอยากสารพัดอยาก อยากอะไร อยากให้กายให้ใจเป็นสุข อยากให้กายให้ใจไม่ทุกข์ มันก็อยากแค่นั้นล่ะ พอรู้ความจริงว่ากาย ใจ รูป นาม ขันธ์ 5 คือตัวทุกข์ ความอยากให้มันไม่ทุกข์ก็ไม่เกิด เพราะมันตัวทุกข์ จะไปอยากให้มันไม่ทุกข์ได้อย่างไร แล้วก็ไม่มีความอยากให้มันเป็นสุขด้วย เพราะมันเป็นตัวทุกข์ มันจะสุขได้อย่างไร เห็นไหม รู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็เป็นอันละตัวสมุทัย คือตัวอยากได้ ทันทีที่สิ้นตัวอยาก จิตก็ไม่หยั่งลงไป ไม่หยั่งลงในอารมณ์ ไม่หยั่งลงในภพทั้งหลาย ถ้ามีความอยาก จิตจะหยั่งลงไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ ความทุกข์ก็ไปเกิดขึ้นอีก ถ้ารู้ทุกข์แจ่มแจ้งก็ละความอยากได้ ละความอยากได้ จิตก็ไม่หยั่งลงไปในที่ใดที่หนึ่ง เราก็จะแจ่มแจ้งในพระนิพพานขึ้นมา อันนั้นล่ะคือมรรค คืออริยมรรค หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 13 เมษายน 2568
-
สังเกตดูคนภาวนา จุดอ่อนที่สำคัญเลยก็คือไม่มีตัวรู้ที่ถูกต้อง ที่เข้มแข็ง เรื่องของสติปัฏฐาน 4 เป็นหลักสูตรการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านบอก เป็นทางสายเอก เป็นทางสายเดียวเพื่อความบริสุทธิ์หลุดพ้น ในสติปัฏฐานถ้าสังเกตให้ดี มันจะมีกิริยาสำคัญอยู่คำหนึ่งคือคำว่า “รู้” ปัญหาก็คือคุณภาพของการรู้ มันไม่ได้มาตรฐาน ภาวนาให้ตายมันก็ทำไม่ได้ ทำไมเราทำกันแทบเป็นแทบตายไม่ได้สักที ก็ยังได้กิเลสเหมือนเดิม คือคำว่า “รู้” นี้มันเข้าใจยาก ใครๆ ก็ชอบคิดว่าตัวเองรู้ ทั้งๆ ที่กำลังหลงอยู่ก็ว่ารู้อยู่ ตัวนี้ยากมาก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 เมษายน 2568
-
เวลาเราทำวิปัสสนา เรียนรู้ลงมาในร่างกายเรานี้ เห็นทุกข์เห็นโทษของมันเรื่อยๆ ถึงวันหนึ่งจิตก็พ้นจากกามโดยเด็ดขาด ขึ้นสูงขึ้นไป เราก็ไม่ต้องมาเป็นหนอนกินอุจจาระอีกต่อไป การภาวนาที่เหลืออยู่เป็นเรื่องของจิตใจ ทำจิตใจให้สงบด้วยการเพ่งรูป ทำจิตใจให้สงบด้วยการเพ่งนาม เราก็จะเห็นจิตใจจะไปเพ่งรูป ก็ยังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตไปเพ่งนามธรรมก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ดูไปดูมาเราจะพบว่า ไม่ว่าจิตนี้จะไปเกิดในภพใดที่ใด วิเศษแค่ไหน ก็ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น คนจำนวนมากก็คิดว่า ถ้าไปเป็นเทวดาเป็นพรหมแล้วจะไม่ทุกข์ ไม่ใช่ เกิดที่ไหนก็เป็นทุกข์ที่นั้น เกิดทีใดก็เป็นทุกๆ ที ถ้าเดินวิปัสสนาสุดขีดจะรู้เลย แล้วจะมองไปใน 3 โลกธาตุนี้ ไม่มีที่ไหนเลยที่ว่าจิตหยั่งลงไปแล้วจะไม่ทุกข์ ถ้าเห็นได้อย่างนี้ จิตจะสลัดตัวออกจากโลกทั้งหมดเลย ทั้งกามาวจรภูมิ รูปวจรภูมิ อรูปวจรภูมิ สำเร็จเด็ดขาดลงไป หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 7 เมษายน 2568
-
หลวงพ่อจะพูดภาพกว้างๆ ให้พวกเราเห็น หัวข้อที่จะพูดข้อแรกก็คือเรื่องความรู้สึกตัว หัวข้อที่สอง คือเรื่องของสมถกรรมฐาน หัวข้อที่สาม เรื่องวิปัสสนากรรมฐาน เรื่องหัวข้อที่สี่ เรื่องอริยมรรค อริยผล หัวข้อที่ห้า คือเรื่องนิพพาน เราจะไปสู่นิพพาน นิพพานเป็นสภาวะที่เราพ้นทุกข์สิ้นเชิง ฉะนั้นจะตอบโจทย์เราว่าเราจะไปสู่ความพ้นทุกข์ได้อย่าง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช โรงแรม KSL Esplanade มาเลเซีย 26 มีนาคม 2568
- Mostrar mais