Episoder
-
ตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มีใครสามารถทำอันตรายได้ จะมีเพียงภาพลวงตาแห่งตัวตนเท่านั้นที่ได้รับอันตรายจากการวิพากษ์วิจารณ์และการสบประมาท เราจึงไม่จำเป็นต้องบากบั่นอย่างต่อเนื่องเพื่อจะให้อภัยผู้อื่น หากซึมซับบทเรียนอย่างสมบูรณ์ การให้อภัยผู้อื่นนั้น ไม่ต้องใช้ความพยายามเลยแม้แต่น้อย
-
อู่เหวย คือศิลปะที่ไร้ศิลปะ เป็นหลักการที่ไร้หลักการ ในทำนองเดียวกัน เมื่อบรรลุขั้นสูงสุดตามคำสอนเต๋า บุคคลนั้นจะกลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเต๋า ไม่รู้แม้กระทั่งคำสอนของเต๋า ปราศจากการเรียนรู้ทั้งปวง การใช้สติปัญญาในการคิดคำนวณก็ถูกมองข้าม และอยู่ในสภาวะที่เหนือกว่าการไม่มีจิตใจโน้มเอียง เมื่อบรรลุขั้นสมบูรณ์สูงสุด ร่างกายและแขนขาจะแสดงออกโดยตัวมันเอง มันจะกระทำไปโดยไม่ถูกสอดแทรกด้วยความคิด ความชำนาญทางเทคนิคต่างๆจะถูกแสดงออกโดยอัตโนมัติ มันถูกแยกขาดสมบูรณ์จากความพยายามอย่างมีเจตนา
-
Manglende episoder?
-
ปัญญาเหนือกว่าความรู้ และการเข้าใจอย่างซาบซึ้งเหนือกว่าตรรกะวิทยา เราควรนับถืออำนาจที่น่าเกรงขามของความรู้และตรรกะวิทยา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ควรคงไว้ซึ่งทรรศนะเกี่ยวกับความเป็นจริงทั้งในขอบเขตที่อำนาจเช่นนั้นไปถึงและไปไม่ถึง
-
การทำงานอย่างแข็งขันไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดความน่าเบื่อ เมื่อเราทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา พยายามปฏิบัติจนกลายเป็นของธรรมดาและเมื่อเราเข้าไปมีส่วนร่วมกับส่วนที่เป็นธรรมชาติของชีวิตเราแล้ว เราจะพบว่ามันง่ายดายโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม เช่นเดียวกับการหายใจอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย อีกทั้งไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะต้องหายใจ
-
แจกันในเรื่องนี้หมายถึงสิ่งใดๆที่เรายึดติด ยิ่งยึดติดมากเท่าไร ยิ่งกลัวสูญเสียมันไปมากเท่านั้น ความว่าจะสูญเสียนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดในขณะที่เริ่มมีการสูญเสีย หากแต่พอเริ่มยึดติดกับสิ่งนั้น เราก็เกิดความกลัวแล้ว
การดื่มแก่นแท้นี้ ต้องทำให้ชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยเต๋า ในการนำมันเข้าสู่ปากนั้น ก่อนอื่นเราต้องคลายมือที่กำแน่นออก เราดื่มด้วยจิตใจที่รู้สึกสบายอย่างแท้จริงและปราศจากความกลัว จากนั้นเราผ่อนคลาย ไม่ยึดติดในสิ่งใด เพื่อที่จะสามารถกอบเอาน้ำนั้นขึ้นมาได้มากๆ และนำเต๋าเข้าสู่การดำรงชีวิตได้มากยิ่งขึ้น -
เป็นการอุปมาอุปไมยที่ชี้ให้เห็นเข้าใจได้ง่ายเกี่ยวกับพวกเราทุกคนว่าจะเข้าหาชีวิตและความตายอย่างไร
โดยเปรียบเทียบการแต่งงานเป็นตัวแทนของความตาย สำหรับเราความตายก็ดูเหมือนเป็นจุดจบ การดำรงอยู่ทางกายที่เราพอใจนี้จะไม่คงทนตลอดไป ไม่ช้าก็เร็ว เราต้องตาย
นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า ไม่จำเป็นต้องรอให้ตายเสียก่อน จึงจะรู้แจ้งในชีวิตและความตาย ปัญญานั้นมีอยู่กับเราที่นี่และเดี๋ยวนี้แล้ว นิทานบอกเราว่า การพยายามต่อต้านความตายนั้น ไม่จำเป็นและไร้ผล ปล่อยให้ความตายดำเนินไปตามธรรมชาติ -
เรามักตัดสินผู้อื่นจากลักษณะที่ปรากฏภายนอก บ่อยครั้งที่เราไม่เห็นคุณค่าที่แท้จริงของบุคคลต่างๆที่อยู่รอบตัว การที่เราติดสินหนังสือจากปก เป็นเรื่องน่าขัน เราทุกคนรู้ดีว่าการปรากฏทางภายนอกนั้นเป็นเพียงชั่วคราว ขณะที่แก่นแท้ภายในนั้น คงอยู่ตลอดไป หากแต่เราเพ่งความสนใจอยู่ที่ภายนอกมากเกินไป จึงปฏิบัติกับสิ่งชั่วคราวประดุจว่ามันเป็นของจริง ไม่เพียงแต่ตัดสินหนังสือจากปก เรายังละเลยทุกหน้าภายในหนังสืออีกด้วย
-
ถ้าต้องการให้หด ต้องขยายเสียก่อน, ถ้าต้องการให้อ่อนแอ ต้องทำให้เข้มแข็งเสียก่อน, ถ้าต้องการให้ตกต่ำ ต้องทำให้ยิ่งใหญ่เสียก่อน, เหล่านี้ คือความกระจ่างแจ้งที่แฝงอยู่
-
บ้านที่สร้างอย่างดีเลิศจากภายใน จะมีความแข็งแรงอย่างแท้จริงและคงทนต่อการทดสอบของกาลเวลา เช่นเดียวกับผู้ที่ฝังรากลึกทางความรู้สึกนึกคิดและมีพื้นฐานทางจิตใจที่มั่นคง ก็เป็นการสร้างตัวเองจากภายในออกมา พวกเขาจะมีความเข้มแข็งที่แท้จริงและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างถาวร
ในเมื่อเรามีโอกาสที่จะสร้างชีวิตให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราควรเป็นสถาปนิกที่แท้จริง ผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเองด้วยวัตถุก่อสร้างชนิดดีเลิศคือ ความรัก ความกตัญญู ความเบิกบาน ความอ่อนน้อมถ่อมตน และบรรดาเพื่อนร่วมงานที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ คือ ปัญญาแห่งปราชญ์ -- เราสามารถสร้างโชคชะตาให้เป็นงานชิ้นเอกที่แท้จริง! -
ความเป็นปรปักษ์และผลร้ายมักจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อเราสามารถเห็นได้เพียงด้านเดียวของปัญหา ความไม่ลงรอยเกิดขึ้นเมื่อต่างฝ่ายที่โต้เถียงกันต่างก็เชื่อมั่นในความถูกต้องของตัวเอง แต่ละฝ่ายต่างยึดมั่นอย่างดื้อรั้นในมุมมองของตัว ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะเห็น หรือบางทีก็ไม่สามารถเห็นในอีกด้านหนึ่ง หากเราสามารถมองเห็นได้มากกว่าด้านของเรา เราก็จะสามารถรับรู้มุมมองอีกด้านหนึ่งของผู้อื่นได้เช่นกัน และเราจะสามารถเข้าใจได้ว่าความขัดแย้งนั้นเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร และจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ดีกว่า
-
เราสามารถใช้ความไม่ดีให้เป็นประโยชน์ได้ ดังเช่น .. ลา ได้สลัดดินและทรายทำให้ก้นบ่อตื้นขึ้นจนสามารถกระโดดออกมาได้ ในทำนองเดียวกัน เราสามารถใช้เหตุการณ์ที่ไม่ดี เป็นประหนึ่งวัตถุดิบเพื่อเพิ่มหรือส่งเสริมการพัฒนาทางจิตใจ สิ่งที่เป็นลบและความไม่ดีทั้งหลาย ไม่อาจมีอำนาจเหนือเราอีกต่อไป ตลอดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ ทุกตารางแห่งการคร่ำครวญที่ขมขื่นจางหายไปเบื้องล่างเมื่อเรากระโจนออกมาได้ … เราไม่ถูกกักขังไว้ในบ่ออีกต่อไปแล้ว..!
-
อัตตาปฏิบัติการอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมของสังคม ทำให้เราตกเป็นทาสด้วยการทำให้เราต้องขึ้นอยู่กับความคิดของอื่นมากเกินไป การเป็นอิสระจากอัตตาเป็นวิธีง่ายๆในการถอนตัวออกจากการยึดแน่นของอัตตา เพื่อที่เราจะได้ไม่เป็นทาสโดยการครอบงำของมัน เราต้องการเป็นนายของอัตตา มิใช่เป็นทาสของมัน
-
ปัญหามากมายที่เราเผชิญในชีวิตล้วนมาจากจิตของเราเองมากกว่าจะมาจากโลกภายนอก ปราชญ์จึงสอนว่า การแก้ปัญาชนิดนั้นเราจำเป็นต้องหยุดกล่าวโทษอำนาจภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และให้พิจารณาอย่างจริงจังที่ตัวเราเอง เมื่อตระหนักรู้ว่าตัวเราเป็นสาเหตุแห่งความยากเข็ญของตัวเราเองแล้ว เราจะสามารถเริ่มต้นปรับความคิดที่ระดับพื้นฐานและเริ่มต้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเอง
-
“คนดีไม่ได้พิสูจน์โดยการโต้เถียง คนที่โต้เถียงเก่งไม่ใช่คนดี” ข้อคิดเห็นธรรมดาเกี่ยวกับความถูกและผิดที่สมบูรณ์นั้น ล้วนเป็นมายา มันอาจเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการทำให้ง่าย มีเพียง ดำ-กับ-ขาว เท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วระหว่างดำกับขาว ยังมีสีเทาอยู่อีกหลายระดับ
-
ปฏิบัติตามความรู้ทางโลก ก็จะได้เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ปฎิบัติตามฝ่ายเต๋า ก็จะสูญหายลดน้อยลงทุกวัน การดำเนินตามวิถีแห่งเต๋า เป็นการปล่อยวางมากขึ้นทุกวันทุกวัน ยิ่งสลัดทิ้งได้มาก ยิ่งทำให้สามารถใช้สิ่งที่เหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น ยิ่งทำให้ชีวิตเรียบง่ายมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งได้รับความสงบและสันติแห่งจิตมากขึ้นเท่านั้น
-
สังฆปรินายกองค์ที่5แห่งนิกายเซนได้เล่าเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจ เป็นการชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับเซนและเต๋าได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งเฉพาะตัวของบุคคล โดยเราต้องหาความยุ่งเหยิงภายในจุดศูนย์กลางให้พบ ขจัดความโง่และความคิดผิด และหลอดไฟแห่งแสงสว่างจะเริ่มฉายแสงอยู่ในจิตใจของคุณเอง
-
เรามีร่างกายที่บรรจุไว้ด้วยตัวตนที่แท้จริงดังเช่นถ้วยที่บรรจุน้ำในนิทานเรื่องนี้ ประโยชน์ของถ้วยก็เพื่อนำน้ำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เช่นเดียวกับปนะโยชน์ของร่างกาย เพื่อให้เรามีประสบการณ์ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนที่แท้จริง
-
สรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นธรรมดาในชีวิต ไม่ใช่ดีหรือเลว มันเกิดขึ้นเพื่อให้บทเรียนชีวิต ถ้าเราด่วนตัดสินใจว่าดีหรือเลวด้วยพื้นฐานของความประทับใจดั้งเดิม จะทำให้เราเสี่ยงต่อการมองข้ามบทเรียนที่แท้จริงไป
-
เมื่อเราได้เริ่มต้นด้วยพลังด้านบวกโดยไม่รู้แน่ชัดว่า ผลจะปรากฏออกมาเมื่อไรและอย่างไร เมื่อเราเข้าใจในกลไกแห่งกรรม และตระหนักรู้ว่ามันจะให้ผลในทางที่ดีไม่ช้าก็เร็ว อย่างไรก็ดี หากเราไม่ยึดติดกับผลอย่างเฉพาะเจาะจง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความมุ่งหวังเป็นพิเศษ ขอเพียงเราเน้นที่ภาระกิจแห่งศรัทธา เราจะประสบความสำเร็จ สิ่งเดียวที่จำเป็นคือ กล้าทึ่จะรับผิดชอบ “เชื่อเถอะ มันใช้ได้”
-
เมื่อมีความทุกข์ จงดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่และสนใจกับชั่วขณะนั้น สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ ถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ … อะไรคือสิ่งที่เรายึดติด … อะไรบ้างที่ยังไม่สามารถปล่อยวางได้ … การยึดติดอะไรบ้างที่กำลังปรารถนาจะปลดปล่อยเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด … เรากำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่หรือไม่ … ทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนอยู่หรือยัง
- Vis mere