Episodit

  • สวัสดีทุกคน! ผมชื่อจาเร็ตอายุ 15 ปี คุณรู้มั้ยว่ามันรู้สึกอย่างไรเวลาที่ส่องกระจกแล้วคุณไม่อยากตัวเองในนั้น? คุณเคยรู้สึกต่อต้านตัวเองจนอยากจะลืมว่าตัวเองเคยเป็นใครและกลายเป็นคนใหม่ให้มันรู้แล้วรู้รอดมั้ย? เปล่าเลย ผมไม่ได้ถูกล้อเลียนหรือถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน แต่ประเด็นก็คือผมมันเป็นคนที่ไม่มีอะไรพิเศษเอาเสียเลย ที่โรงเรียนผมก็เป็นแค่คนที่ไม่มีใครพูดถึงและถูกหลงลืมได้ง่าย ๆ เสมอ  ผมมีพี่น้องทั้งหมดห้าคน และผมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าพี่น้องคนอื่นเลยเช่นกัน

    มีคน ๆ เดียวที่คอยเอาใจใส่ในตัวผมนั่นคือแฟรงค์ เขาเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเป็นคนที่มีความสามารถและมีเพื่อนฝูงมากมาย ผมชื่นชมและนับถือเขามากและไม่เข้าใจว่าทำไมคนแบบเขาถึงมาสนใจคบคนที่น่าเบื่อแบบผมเป็นเพื่อน พวกเราเรียนคนละโรงเรียน แต่เรามักเจอกันหลังเลิกเรียนบ่อย ๆ เขามักจะเล่าเรื่องวงดนตรี เรื่องสาว ๆ และเรื่องปาร์ตี้ให้ผมฟัง ส่วนผมก็ได้แต่อ้าปากค้างเมื่อฟังเรื่องราวของเขาและพยายามซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดที่รู้ว่าตัวเองไม่มีอะไรเทียบเขาได้เลยแม้แต่น้อย ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มรู้สึกไม่ชอบเขาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมไม่กล้ายอมรับด้วยซ้ำว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ที่ผิดคือผมเอง ดังนั้นผมจึงพยายามอย่างที่สุดในการขจัดความคิดแย่ ๆ พวกนี้ออกไปและรักษามิตรภาพที่ดีของเราไว้

    วันหยุดสุดสัปดาห์หนึ่ง แฟรงค์มาหาผมที่บ้าน เขาดูร่าเริงมาก! เขาบอกผมเกี่ยวกับข่าวที่ดีที่สุดว่าเขาจะย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกับผม และพ่อแม่ของเขาก็ขออาจารย์ใหญ่ให้ย้ายเขามาที่ห้องเดียวกันกับผมด้วย แม่ผมดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น! เธอรักเขาเหมือนกับที่ใคร ๆ ก็รักเขา ทุกครั้งที่เขามาที่บ้าน เธอมักจะพูดคุยกับเขาเป็นเวลานาน จนบางครั้งผมคิดว่าเธอน่าจะมีความสุขมากกว่าถ้าได้เขามาเป็นลูกชาย คุณอาจเดาออกว่าผมไม่ได้ตื่นเต้นกับข่าวนี้เลย เพราะต่อจากนี้ผมจะต้องเห็นความสำเร็จของเขาทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังไม่ต้องการให้แฟรงค์รู้ถึงสถานภาพทางสังคมของผมที่โรงเรียน ส่วนตัวเขากลายเป็นคนเด่นของห้องในทันที และยิ่งแย่เข้าไปอีกเมื่อเขาได้รับความสนใจจากไวโอเล็ตสาวในฝันของผม ผมแอบชอบเธอมาตั้งแต่สองปีก่อน และแน่นอนว่าผมไม่เคยมีโอกาสได้บอกเธอ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำยังไง ความรู้สึกของผมที่มีต่อแฟรงค์เปลี่ยนไป เขาทำให้ผมหัวใจสลาย! และไม่นานสิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • ไง! ผมชื่อจอร์จ ผมอายุสิบหกปี คุณอาจบอกว่า – ผมเป็นผู้ใหญ่ที่โตแล้ว บางทีนั่นก็อาจจริงนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมทำใจกับเรื่องต่าง ๆ ได้หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนที่ผมอายุสิบปี หกปีก่อนผมได้ประสบกับการหักหลังที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ - นั่นคือการหักหลังจากแม่ผมเอง

    เรื่องราวของผมเริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนผมเกิดอีก – ผมทำลายชีวิตของแม่ผมขณะที่ยังอยู่ในท้องแม่...อืม ผมเดาว่านั่นคือสิ่งที่แม่คิด ความจริงก็คือ เมื่อแม่ท้องผม มันเกิดขึ้นค่อนข้างจะ...กะทันหันมาก อย่างที่เห็น แม่ยังเป็นแค่วัยรุ่น และแทบเรียนไม่จบอยู่แล้วในตอนที่เจอพ่อผม ในเวลานั้นเขาเป็นนักดนตรีร็อก! ไม่ใช่ดาวเด่นอะไรนะ ไม่ใช่ เรื่องของผมไม่ใช่แบบนั้น วงของพ่อผมไม่ได้ดังอะไร แต่ก็ได้ไปทัวร์เมืองเล็ก ๆ ในสหรัฐอเมริกาอยู่ ระหว่างนั้นเองที่พ่อแม่ผมได้พบกัน ชอบกันและหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แม่ผมก็พบว่าตัวเองท้อง เมื่อพ่อแม่ของแม่รู้เรื่องนี้ พวกเขาสั่งให้แม่กำจัดตัวปัญหาออกไป และพอแม่ปฏิเสธ พวกเขาก็เลยตัดหางปล่อยวัดแม่ พวกเขารู้สึกว่าในเมื่อแม่ไม่รอบคอบเอง แม่ก็ควรไปหาพ่อเด็กซะ และนั่นก็คือตอนที่แม่ผมจากบ้านของพ่อแม่ไปตลอดกาล ดังนั้นผมก็เลยไม่เคยพบคุณตาคุณยายของผมเลยและพูดกันตามตรงนะ ผมไม่ได้เสียใจสักนิด ถ้าเพียงแต่คุณตาคุณยายผมมีเมตตากว่านี้สักนิด บางทีชีวิตผมอาจแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเลยก็ได้

    ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่แม่ผมก็หาพ่อผมเจอ! เขามองท้องโต ๆ ของแม่ด้วยความสงสัย - แต่แน่ละ เขาไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาลืมไปแล้ว ดังนั้นเลยไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่มีลูกติดมาด้วย! แต่เขาก็สัญญาว่าจะจำไว้ว่ามีผมอยู่ และส่งเงินมาให้เมื่อมีโอกาส เรื่องนี้หมายความว่า พ่อผมก็ไม่รวยเหมือนกัน แต่ในตอนนั้นสำหรับแม่ผม แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • Puuttuva jakso?

    Paina tästä ja päivitä feedi.

  • ไงทุกคน! ฉันชื่อโรเบอร์ต้าอายุ 13 ปี ถ้าเด็กสามารถหย่าร้างกับพ่อแม่ได้ เหมือนคู่สมรส ฉันจะขอหย่าขาดจากพ่อของฉัน ก่อนอื่นคุณจะต้องรู้เกี่ยวกับพ่อของฉันผู้ซึ่งฝันอยากมีลูกชายมาตลอด เขาแทบจะหมกมุ่นอยู่กับความคิดนี้ หรืออย่างน้อยเขาก็ไม่ได้บอกฉัน ดังนั้นเมื่อแม่คลอดพี่ชายของฉัน โรเบิร์ต พ่อจึงมีความสุขมากที่สุดในโลก เขาตัดสินใจที่จะปลูกฝังให้พี่ของฉันประสบความสำเร็จทางด้านกีฬา และพี่ก็ได้เป็นนักกีฬาฮอกกี้ ที่ได้รับรางวัลมากมาย พ่อรักโรเบิร์ตมากกว่าอะไรในโลก และแน่นอน แม่ก็รักเขามากด้วยเช่นกัน

    วันหนึ่งขณะที่โรเบิร์ตกำลังเล่นบอลอยู่ข้างนอก ส่วนแม่มัววุ่นอยู่กับโทรศัพท์ ลูกบอลกลิ้งออกไปที่ถนน โรเบิร์ตวิ่งตามออกไปเก็บ และรถคันหนึ่งก็... เขาเสียชีวิตในระหว่างทางที่ไปโรงพยาบาล ในขณะที่มีอายุเกือบ 8 ขวบ แม้ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นก่อนที่ฉันจะเกิด แต่ฉันก็พอรู้ว่าพ่อแม่ของฉันเสียใจอย่างมากหลังจากการตายของโรเบิร์ต พ่อโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดแม่และเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ จากนั้นเขาก็เริ่มดื่มหนักมาก  แม่รักพ่อและพยายามให้กำลังใจเท่าที่จะทำได้เพื่อช่วยให้เขาผ่านทุกอย่างไปให้ได้  ด้วยเหตุนี้สุขภาพของแม่จึงแย่ลงและเธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทดสอบทางการแพทย์เพื่อหาสาเหตุของโรคและการรักษาที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปได้ระยะหนึ่งพ่อก็เข้ารับการบำบัดและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ของฉันก็ดีขึ้น และแม่ของฉันก็ท้องอีกครั้ง หมอบอกว่าเด็กที่เกิดมาจะเป็นเด็กผู้ชายพร้อมโชว์ภาพจากโซโนแกรมให้พวกเขาดู และนั่นทำให้พ่อมีกำลังใจมากขึ้น

    แต่เมื่อเกิดฉันกลับไม่ใช่เด็กผู้ชาย แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดพ่อจากการสอนฉันให้เหมือนกับเด็กผู้ชาย เขาพาฉันไปทุกที่ที่เขาไปและสอนฉันทุกอย่างที่เขารู้ ตอนอายุ 6 ขวบฉันตกปลา ว่ายน้ำ เล่นฟุตบอล เบสบอลและอีกมากมายได้อย่างชำนาญ ฉันรู้ด้วยซ้ำว่าอะไหล่ทุกชิ้นในรถของพ่อเรียกว่าอะไรและมีไว้ใช้ทำอะไรบ้าง แต่ต้องขอบอกว่า ช่วงเวลานั้น เราสนุกด้วยกันมาก แม้ว่าเรื่องที่พ่อบังคับฉันให้ตัดผมสั้นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับฉัน และมีบางครั้งที่เพื่อนเก่าๆ ของพ่อแม่ที่ไม่เคยรู้จักฉันมาก่อนจะทักว่าฉันเป็นเด็กผู้ชายที่ดูน่ารักมาก แต่ฉันก็ยังโอเคกับมัน เพราะบางครั้งมันก็อาจเกิดขึ้นได้ เรื่องการแยกไม่ออกระหว่างเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิง จริงมั้ย? แต่ในขณะที่ทุกคนเรียกฉันว่าเบอร์ตี้ แต่พ่อกลับเรียกฉันว่าบ๊อบบี้э

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดีทุกคน! ฉันชื่อโลล่า อายุ 15 ปี ฉันยังคงสงสัยว่าทำไมผู้คนมักจะบอกว่าเราควรเป็นคนดีและมีเมตตา เพราะตอนนี้ฉันได้รับประสบการณ์บางอย่างที่ไม่ค่อยน่ายินดีนัก ซึ่งพนันได้เลยว่ามันจะไม่เกิดขึ้นถ้าพ่อแม่และฉันไม่เป็นคนดีมากเกินไป อย่างแรกที่คุณควรจะรู้เลยคือ ครอบครัวของฉันนั้นร่ำรวย พวกเราอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่บริเวณชานเมืองที่มีทั้งสวนและสระน้ำ พ่อแม่ของฉันมีหน้ามีตาในสังคม ส่วนพี่สาวและฉันมีทุกอย่างที่อยากได้ แต่อย่าเพิ่งคิดว่าเราหยิ่งยโสนะ มันกลับกันเลยล่ะ จริงๆ แล้ว แม้จะไม่บ่อยนัก แต่ฉันได้ยินคนอื่นพูดถึงครอบครัวของเรา ทุกคนรักเรามากๆ และชื่นชมความจริงที่ว่าพ่อแม่นั้นสามารถจัดการการใช้เงินของพวกท่านได้อย่างไร้ที่ติ และพวกท่านก็เลี้ยงดูฉันและอลิซ พี่สาวของฉันให้เติบโตมาอย่างดีด้วย มันช่างน่ายินดีใช่ไหมล่ะ?

    อันที่จริงแล้ว มีคนที่ช่วยเหลือเราหลายคน ซึ่งช่วยดูแลเราและทรัพย์สินของพวกเรา และในบรรดาพวกเขา คนที่สำคัญที่สุดและใกล้ชิดครอบครัวเราที่สุดคือแม่บ้านรอนด้า ซึ่งเราเจอเธอเมื่อ 5 ปีก่อนและหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเลย เธอทำอาหารเก่ง, เก็บของทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบ และเป็นคนที่จิตใจดีสุดๆ เธอทุ่มเทเพื่อครอบครัวตัวเอง และเรียกฉันกับพี่ว่า “สาวน้อยแสนล้ำค่าของเธอ” วันหนึ่งในระหว่างช่วงเวลาหลังอาหารค่ำตามปกติของเรา รอนด้าได้มาหาพ่อและขอให้ท่านช่วยอะไรบางอย่าง รอนด้าจากประเทศบ้านเกิดของตัวเองมาเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว เธอมาทำงานกับเราและปล่อยให้ลูกชายอยู่กับสามีของเธอ แต่เมื่อไม่นานมานี้ เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับสามีที่กำลังทำงานอยู่ที่ลานเก็บไม้ โชคไม่ดี เขาเสียชีวิตลง นั่นแหละ รอนด้าจึงไม่สามารถปล่อยให้ลูกชายที่เพิ่งจบจากโรงเรียนอาศัยอยู่คนเดียวโดยไม่มีอนาคต, ไม่มีโอกาส และไม่มีพ่อได้ ดังนั้น เธอจึงขอยืมเงินจำนวนหนึ่งกับพ่อเพื่อซื้อตั๋วให้อเล็กซ์และขออนุญาตให้เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้กับเธอ เธอยังรับประกันด้วยว่าลูกชายของเธอนั้นเป็นหนุ่มฉลาดและขยัน ซึ่งอาจจะมาช่วยทำงานเป็นคนสวนได้ หรือไม่ก็ดูแลสระน้ำ หรืออะไรก็ตามที่เราต้องการ ซึ่งนี่จะเป็นโอกาสที่เขาจะได้เริ่มต้นอนาคตของตัวเอง

    แน่นอน พ่อบอกว่าเขายินดีที่จะช่วยรอนด้า และประมาณหนึ่งสัปดาห์จากนั้น บ้านของเราก็ได้ผู้ช่วยคนใหม่ อเล็กซ์ดูเหมือนคนที่เพิ่งออกมาจากปกนิตยสารหรืออะไรทำนองนั้น เขาสูง, มีผมสีเข้ม, ดวงตาสีเขียว และตอนที่ได้ทำสวนครั้งแรก ในตอนที่เขาถอดเสื้อตัวเองออก สายตาของฉันก็ได้เหลือบมองกล้ามท้องของเขาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่แปลกเลยที่ฉันจะรู้สึกเหมือนหลงเสน่ห์เขาในทันที สิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจยิ่งกว่าการดูเขาทำงานคือ ภาพลักษณ์ที่น่ามองของเขา ซึ่งมันน่าสนใจสุดๆ และบอกได้เลยว่าฉันถูกเขาดึงดูดความสนใจเข้าแล้ว

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดี ฉันชื่อบรี อายุ 17ปี ฉันอาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ และเรียนอยู่ปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมแล้ว แฟนของฉันชื่อเจสัน เขาอายุมากกว่าฉันหนึ่งปีตอนนี้เขาเรียนจบมัธยมแล้ว และได้ย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองอื่น ดังนั้นในปีนี้ พวกเราจึงไม่ได้เจอหน้ากันบ่อยนัก บางทีอาจแค่สองสามเดือนครั้ง แต่ฉันวางแผนไว้นะว่า ฉันจะย้ายไปอยู่เมืองเดียวกันและเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเขาที่ที่ฉันก็จะได้เรียนศิลปะ ในขณะที่เขาเรียนสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แน่นอนว่าเจสันมีเพื่อนใหม่ที่นั่นมากมาย และเขาก็ไม่อยากที่จะเสียเวลาขับรถ 6-7ชั่วโมงเพื่อมาหาฉันที่บ้านเกิด ส่วนฉันเองก็กำลังเรียนอยู่ในปีสุดท้ายเราจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างมาเจอกันบ่อยนัก แต่เราก็โอเคกับจุดนี้ตราบใดที่เรายังคงคบเป็นแฟนกันอยู่ ชีวิตมันก็ต้องมีอุปสรรคบ้างบางครั้งและเราต่างก็ยอมรับช่วงเวลานี้ได้ว่าเราควรต้องมุ่งทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดไปพร้อม ๆ กับการรักษาความสัมพันธ์ของเรา แต่ว่าตอนนี้ ฉันชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วสิว่าเราจะไปกันรอดหรือเปล่า ทำไมฉันถึงรู้สึกอย่างนั้นน่ะเหรอ? เอาล่ะ ฉันจะเล่าให้คุณฟัง

    ...มันเกิดขึ้นตอนที่เจสันมีเวลาว่างพอที่จะกลับมาบ้านเพื่อมาพบฉัน คืนนั้นเรานั่งเล่นบนโซฟาและดูหนังกัน  เจสันเพลียจากการขับรถที่เช่ามาพร้อมกับเพื่อน ๆ เขาจึงเผลอหลับไป ฉันได้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆ จ้องมองชายคนที่ฉันรักอย่างเอ็นดู และสงสัยว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วทำไมเขาถึงโพสต์รูปภาพกับเพื่อนใหม่แค่สองสามรูปในอินสตาแกรมเท่านั้น เขาวางมือถือเอาไว้บนโต๊ะ ที่เต็มไปด้วยป็อปคอร์น ถุงมันฝรั่งทอดที่เหลืออยู่ครึ่งถุง กระป๋องน้ำอัดลมและ ช็อกโกแลตที่กัดไปแล้วนิดหน่อย พูดง่าย ๆ ก็คือมันวางอยู่ใต้ขนมต่าง ๆ ที่เราเตรียมสำหรับการดูหนังในคืนนี้ที่บ้าน

    ฉันไม่สามารถต้านทานความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้ จึงหยิบมือถือของเขาคิดมาดูพร้อมกับอีกมือก็ถือช็อกโกแลตกินไปด้วย ฉันเริ่มดูรูปถ่ายของเขา โอ้ ได้โปรดอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้คิดที่จะจับผิดแฟนของฉันเลย! แทบไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยด้วยซ้ำ! ฉันก็แค่อยากดูรูปถ่ายของเขาที่มหาวิทยาลัย เขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฉันฟังมากมายตอนที่เราโทรคุยกันแทบทุกคืน แต่เขาไม่เคยส่งรูปอะไรมาให้ ฉันก็เลยคิดอยากเห็นขึ้นมาว่าเพื่อน ๆ ของเขาดูเป็นยังไงกันบ้าง แล้วฉันก็เลื่อนดูรูปต่าง ๆ มากมาย ซึ่งส่วนมากก็เป็นรูปถ่ายธรรมดา ๆ ทั่วไป... จนกระทั่ง ฉันได้เห็นรูปของเขารูปหนึ่งซึ่งสวมชุดเดรสฟูฟ่องสีชมพูและแถมยังแต่งหน้าหนาเตอะ พร้อมทาลิปสีชมพูและอายชาโดว์กากเพชร

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดีครับทุกคน ผมคือนิค อายุ 15 ปี หลังจากที่ผมสูญเสียแม่ไป ผมก็หวังว่า ชีวิตของผมจะไม่ต้องมีความท้าทายอะไรอีกแล้ว. แต่ไม่นานมานี้ ผมถูกทิ้งไว้คนเดียวกลางเกาะที่อยู่ห่างจากบ้านนับพันๆ ไมล์ แน่นอน ที่นั่นไม่ใช่เกาะร้าง แต่เป็นเกาะสวรรค์ที่มีหาดทราบสวยงาม ต้นปาล์ม และต้นมะพร้าว. ผมควรจะมีความสุขดีที่นั่น แต่ทุกวันผ่านไป ผมยิ่งอยากกลับไปบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดถึงชีวิตเก่าของตัวเอง และอยากได้ชีวิตผมกลับคืนมา แต่สิ่งนี้ยิ่งทำให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อผมตระหนักดีว่า นั่นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เมื่อปีที่แล้ว ครอบครัวของเราต้องเผชิญกับความโหดร้ายอย่างยิ่งยวด แม่ของผมได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง หลายเดือนที่แม่ต่อสู้กับโรคร้าย. ไปโรงพยาบาลมาหลายแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนช่วยแม่ได้เลย แม้จะมีกำลังใจจากเรา แม่ก็ยังอาการแย่ลงเรื่อยๆ ไม่นานแม่ก็จากไป

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • ว่าไง ทุกคน ฉันชื่อเอลลี่ คุณรู้ไหมว่าบางครั้งความโชคร้ายก็เปลี่ยนชีวิตคนให้เหมือนตกนรกได้ แต่ในกรณีของฉันมันต่างออกไป เราเลี่ยงความโชคร้ายได้ แต่ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปตลอดกาล มันเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน พ่อแม่ฉันเซอไพรส์ฉันและบอกว่าเรากำลังจะได้ใช้เวลาสามเดือนบนเกาะสุดเก๋ที่ไหนสักแห่งในเอเชีย พวกเขาจะจองวิลล่าไว้และพวกเราจะได้สนุกกับการอยู่ในสรวงสวรรค์ตลอดทั้งฤดูร้อน แต่เรื่องของเรื่องคือฉันไม่อยากไปเลย! มันเป็นปิดเทอมหน้าร้อนครั้งสุดท้ายของฉันและฉันอยากจะใช้เวลากับเพื่อน ๆ! ปีหน้าพวกเราต่างก็ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยคนละที่กัน แล้วก็อาจจะไม่ได้ติดต่อกันอีก อีกอย่างฉันเกิดเดือนกรกฎาคม ฉันไม่อยากจะฉลองวันเกิดกับพ่อแม่ที่เกาะหรอก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเกาะสวรรค์ก็เถอะ แต่โชคร้ายที่ไม่มีใครถามความเห็นฉันเลย พ่อแม่จองตั๋วเครื่องบินแล้วและพวกเขาไม่ปล่อยฉันไว้คนเดียวที่บ้านแน่ เพราะงั้นฉันจึงไม่มีทางเลือก แต่ฉันตั้งใจว่าจะอยู่บ้านจึงตัดสินใจขัดขวางการเดินทางครั้งนี้ ใช่แล้ว ฉันรู้ว่าพ่อแม่คงจะเสียเงินเยอะแต่เข้าใจฉันหน่อยเถอะ นี่มันสามเดือนในชีวิตของฉันเลยนะที่ต้องอยู่ห่างจากบ้านและเพื่อน ๆ เป็นพันกิโล

    แล้ววันเดินทางก็มาถึง ฉันจัดกระเป๋าตามแผนที่วางไว้และเราเช็คของเป็นครั้งสุดท้าย ฉันช่วยเพื่อที่จะได้เห็นว่าแม่เอาพาสปอร์ตของพวกเราเก็บไว้ไหน ที่ต้องทำก็แค่หันเหความสนใจของพ่อแม่ เอาซองใส่พาสปอร์ตของจากกระเป๋าของแม่และซ่อนมันไว้ที่บ้าน แม่โทรเรียกแท็กซี่ แล้วพวกเราก็นั่งรอรถ ฉันคิดว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการสร้างความตื่นตระหนก ฉันเลยออกไปข้างนอกแป๊ปนึง โทรหาบริษัทแท็กซี่และยกเลิกแท็กซี่ ฉันหวังว่าเมื่อแท็กซี่ยังไม่มาแม่จะเริ่มกังวลและแม่จะออกห่างจากกระเป๋าของเธอสักแป๊ป แท็กซี่ไม่มาตามเวลาที่นัดไว้และไม่ช้าพ่อแม่ก็เริ่มเป็นกังวลอย่างมาก และเมื่อแม่โทรไปที่บริษัทแท็กซี่และพบว่าปัญหาคืออะไร แม่จึงรู้ว่าฉันพยายามทำลายทริปของเรา และอย่างที่ฉันคาดไว้แม่เริ่มตื่นตระหนก แม่กับพ่อวิ่งออกไปเรียกแท็กซี่ได้ในที่สุด เยี่ยมเลย ทำให้ฉันมีเวลาพอที่จะขโมยซองใส่พาสปอร์ตและโยนไว้ในตู้เสื้อผ้า

    หลังจากนั้นพวกเราก็รีบไปที่สนามบิน พ่อแม่ตะโกนใส่ฉันตลอดทางและบอกว่าถ้าพวกเราไปไม่ทันฉันจะต้องถูกลงโทษ ฉันไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย ฉันพร้อมที่จะถูกกักบริเวณ โดนหักค่าขนม หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาคิดออก เรามาถึงช้าแต่ก็ยังมีเวลาให้เช็คอินและเมื่อพนักงานขอพาสปอร์ต แม่ก็ตกใจมากที่พบว่ามันไม่อยู่ ไม่มีเวลาพอที่จะกลับไปเอาแล้วเพราะงั้นฉันชนะ ฉันแทบอดจะร้องออกมาว่า "เย้!" ไม่ได้ แต่เมื่อเห็นสายตาอันขุ่นเคืองของพ่อแม่ฉันก็รู้สึกได้เลยว่าแย่แน่ ๆ โอ้ ต้องบอกมั้ยว่าพ่อแม่ดุฉันหนักขนาดไหน ฉันสาบานเลยว่าแม่พร้อมจะฆ่าฉันเพราะสิ่งที่ฉันทำเลยล่ะ การลงโทษเริ่มขึ้นทันทีที่เราถึงบ้าน ฉันต้องเก็บของจากกระเป๋าเดินทางทั้งหมดและทำงานบ้านทั้งหมดด้วย พ่อแม่ยังบอกด้วยว่าฉันจะถูกกักบริเวณตลอดทั้งปิดเทอมหน้าร้อน แหงล่ะว่านี่ไม่ใช่อย่างที่ฉันหวังไว้และฉันก็ไม่คิดว่าพ่อแม่จะโกรธหนักขนาดนี้ ฉันเริ่มรู้สึกแย่ ฉันทำลายทริปนี้ มันคงดีกว่านี้จะเราได้ไปที่เกาะงี่เง่านั่น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันต่อมาเปลี่ยนทุกสิ่ง

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดีทุกคน ฉันชื่อจิอานน่า และฉันคิดว่าบางครั้งทุก ๆ คนก็อยากจะรู้อนาคตของตัวเอง จะได้ทำงานอะไร, จะได้เงินเท่าไหร่, จะตายตอนไหน มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ แต่ก็เจ๋งใช่ไหมล่ะ ก็นะ จากประสบการณ์ของฉันแล้ว มันไม่เจ๋งเลย ฉันเป็นเด็กสาวอายุ 15 ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน มีการวางแผน และมีความหวังอันยิ่งใหญ่ ฉันมีครอบครัว เพื่อน และแฟนที่น่ารัก จะต้องการอะไรอีกล่ะ? ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทุกอย่างเหมือนถูกทำลาย มันเริ่มต้นจากการปวดหัวเพียงเล็กน้อย ซึ่งฉันไม่สนใจ จากนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อสังเกตตัวเองแล้วพบว่า ฉันมักจะเหนื่อยอยู่บ่อย ๆ หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งฉันก็คิดเพียงแค่ว่า เป็นเพราะยุ่งมาก ๆ นั่นแหละ

    ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันไปข้างนอกกับเพื่อน ฉันรู้สึกว่างเปล่าและ... ตื่นมาบนเปลหาม ทุกอย่างเบลอไปหมด ฉันเห็นเพื่อน ๆ ทำหน้าตกใจ และหมอที่กำลังเรียกชื่อฉันอยู่ ฉันรู้สึกตัวตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ครั้งนี้ฉันปวดหัวอย่างสุด ๆ พ่อ แม่ พี่ชายของฉันก็อยู่ด้วย ฉันถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น แม่จึงบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ฉันเป็นลม ล้มลงบนทางเท้า ทำให้หัวได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เพื่อน ๆ จึงเรียกรถพยาบาลให้ แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอก หมอสัญญาว่า ฉันจะกลับบ้านได้ทันทีถ้าได้รับผลเอกซเรย์แล้ว ดังนั้น ฉันจึงใจเย็นลงนิดหน่อย แต่ก็ยังอยากออกจากที่นั่นให้ไวที่สุดอยู่ดี เพราะหมอและโรงพยาบาลมักทำให้ฉันกลัว!

    เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันคิดว่าตัวเองรู้สึกดีขึ้น ในขณะที่ฉันกำลังเก็บของ หมอและพ่อแม่ของฉันก็เข้ามาในห้อง แม่หน้าซีด ส่วนพ่อก็ทำหน้ากลุ้มใจ หมอเป็นคนดีและยิ้มเก่งมาก เขาเล่ามุกตลก แต่ดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดบางสิ่งที่จริงจังออกมา

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดี! ฉันชื่อรูบี้ ฉันเพิ่งเรียนจบจากโรงเรียนและแต่งงานแล้ว และฉันก็ท้องอยู่ด้วย นี่คือที่มาว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อนที่ฉันจะโตเป็นวัยรุ่น ฉันกลับมาจากโรงเรียนในวันหนึ่งและเจอเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจะออกจากอพาร์ทเมนต์ของเรา แม่ของฉันหน้าซีดเผือด และเห็นได้ชัดว่าเพิ่งหยุดร้องไห้ ปรากฏว่าพ่อฉันถูกรถเมล์ชน และตอนนี้เราก็สูญเสียเขาไปแล้ว

    จะบอกว่ายังไงดีล่ะ? แน่นอน เป็นเรื่องยากที่เราจะผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ ทั้งสำหรับฉันและแม่ เราเริ่มมานอนบนเตียงเดียวกันหลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่ฉันจะฝันร้ายถึงเรื่องที่ต้องสูญเสียพ่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแม่ฉันก็บอกว่าแม่ไม่อาจนอนหลับในห้องได้เมื่อไม่มีพ่อ เกือบทุกคืนฉันจะได้ยินเสียงแม่ร้องไห้อยู่ในห้องน้ำ ฉันอยากช่วยแม่ อยากให้แม่รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ต้องใช้เวลาราวหนึ่งเดือน หรืออาจมากกว่านั้นอีกนิดหน่อยเพื่อเริ่มต้นชีวิตปกติธรรมดาของเราอีกครั้ง แต่หนนี้ฉันเริ่มสังเกตเห็นว่าแม่ฉันมีบางอย่างผิดปกติไป แม่เริ่มดื่มเหล้าทุกวัน แบบทุกวันจริงๆ ตอนแรกแม่บอกว่าแค่ช่วยให้หลับดีขึ้น และฉันก็เชื่อแม่ แต่วันหนึ่งฉันก็พบว่าแม่นอนหลับอย่างสงบสุขในตอนกลางวัน ซึ่งที่จริงก็หมายถึงแม่โดดงาน สถานการณ์แบบเดียวกันเป๊ะเกิดขึ้นซ้ำอีกหลายหน จนถึงจุดหนึ่งแม่ก็ทำให้ตัวเองถูกไล่ออกจากงานสองอย่างภายใน 5 หรือ 6 สัปดาห์ถัดมา แต่ละครั้งแม่จะบอกว่าเสียใจมาก และเริ่มพยายามเลิกเหล้า แต่เมื่อไม่มีเหล้า แม่ก็จะเริ่มกลายเป็นคนก้าวร้าว และก็อย่างที่คุณรู้ ไม่เป็นมิตรเลยน่ะ เรื่องนี้เกิดบ่อยเสียจนถึงจุดหนึ่งเพื่อนบ้านเราก็เริ่มสงสัยว่าจะมีอะไรสักอย่าง และเรียกนักสังคมสงเคราะห์มาดู

    ฉันใช้เวลา 111 วันอยู่ที่ศูนย์ดูแลเด็ก เพื่อรอให้แม่ฉันบำบัดอาการของตัวเอง เมื่อในที่สุดแม่มารับฉันกลับบ้าน แม่ดูผอมลง แต่สุขภาพโดยรวมแข็งแรง ฉันไม่เคยลืมอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตอนที่เห็นแม่ผ่านหน้าต่างวันนั้นได้เลย ฉันคิดว่าความสุขของฉันคงจะชัดเจนจนเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างด้วย ฉันเห็นว่าแม่ภูมิใจในตัวเองมากขนาดไหนที่เลิกนิสัยแย่ๆ ของตัวเองไปได้ และฉันเองก็เช่นกัน เราทั้งคู่ตกลงกันว่าคงเป็นเรื่องยากถ้าจะใช้ชีวิตในอพาร์ทเมนต์เดิม และอยู่กับเพื่อนบ้านเดิมๆ เราก็เลยเก็บข้าวของและย้ายไปเมืองอื่น เพื่อเริ่มต้นในสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหมด มันเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีถนนและบ้านหลังเล็ก ฉันจำได้เลยว่าฉันตื่นตากับทัศนียภาพแค่ไหน ขณะที่แม่ฉันขับรถพาเราไปยังบ้านหลังใหม่ ฉันรู้ว่าชีวิตเราที่นั่นจะต้องต่างออกไป ดีกว่าเดิม และฉันก็ไม่ได้คิดผิด ถึงอย่างนั้นก็ชั่วระยะหนึ่งล่ะ

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • ไง! ฉันชื่อเจนนะ ฉันกำลังจะเล่าเรื่องราวของฉันให้คุณฟัง เพื่อแบ่งปันเรื่องดราม่าส่วนตัวของฉันด้วยความหวังว่าคุณอาจเข้าใจฉันจริง ๆ ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าระเบิดเวลาที่กำลังนับถอยหลัง ระเบิดเวลาลูกเบ้อเริ่มและเลวร้าย โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าต้องตัดสายชนวนตรงไหน ฉันไม่ได้พูดเกินจริงนะ – ฉันมีเวลาเหลืออีกแค่สามวันเท่านั้นเพื่อตัดสินใจชะตากรรมของคนสองคน นั่นคือลูกที่น่ารักของฉัน และตัวฉันเอง

    ตอนนี้ฉันอายุยี่สิบปีแล้ว เมื่อช่วงประมาณหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาฉันค้นพบว่าตัวฉันเองท้อง ในตอนนั้นความจริงนี้กระแทกฉันอย่างแรง! แต่หลังจากนั้นกลายเป็นว่านั่นเป็นแค่แรงกระแทกครั้งแรกจากอีกหลาย ๆ ครั้งที่จะตามมา ฉันหวังเหลือเกินว่าฉันจะไม่ได้ไปคุยกับพ่อเด็กตั้งแต่แรก – ฉันเกลียดความคิดที่ว่าคนเลวแบบนั้นกลับเป็นคนที่โด่งดังในอินเทอร์เน็ตอย่างที่เขาเป็น แต่ฉันต้องพูดถึงเขาก่อน แฟนหนุ่มของฉันและพ่อของเด็ก จากไปทันทีที่เขารู้ว่าฉันท้อง เขาบอกว่านั่นไม่ใช่ลูกของเขา และหายตัวไปเลย โดยไม่รอแม้กระทั่งโอกาสที่จะไปตรวจดีเอ็นเอยืนยัน และทิ้งฉันไว้คนเดียวอย่างไม่มีเยื่อใย – โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ของฉัน ”ไม่ใช่” ประเภทที่จะอยากรับภาระดูแลแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกเล็ก พวกเขายังบอกฉันตรง ๆ ด้วยซ้ำว่าฉันยังไม่พร้อมจะเป็นแม่คน บอกว่าฉันจะไม่สามารถเรียนมหาวิทยาลัยจนจบได้เพราะท้อง และเมื่อไม่มีวุฒิการศึกษา ฉันก็จะหางานดี ๆ ทำไม่ได้ และต้องใช้ทั้งชีวิตดิ้นรนอยู่กับความยากจน และเชื่อฉันเถอะนะ พ่อแม่ฉันรู้ดีมากว่าอะไรคือความยากจน เพราะพวกเขาก็ไม่เคยหลุดพ้นมาได้เลย

    ใช่ ในหัวของฉัน ฉันเข้าใจเป็นอย่างดีว่าพ่อแม่พูดถูก แต่ลึกลงไปในใจ ฉันไม่อาจต่อสู้กับความคิดที่ว่าพวกเขาผิดได้ ฉันทนทรมานทางจิตใจอย่างมากเพราะฉันต้องประสบกับความยากลำบากในการตัดสินใจ ฉันอยากเก็บลูกคนนี้ไว้ และฉันก็ไม่อยากในเวลาเดียวกัน ฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะทำอะไรต่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเฮเลนลูกพี่ลูกน้องของฉันที่อยู่ ๆ ก็เข้ามาช่วยชีวิตฉันไว้

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • ไงทุกคน ฉันชื่อนอร์มา ฉันอยากเล่าให้คุณฟังว่าฉันถูกผู้ชายบ้าๆ คนหนึ่งจับเป็นตัวประกันได้อย่างไร และฉันก็ไม่อาจหนีออกมาได้ด้วย และพอฉันหนีพ้นมาได้ อะไรๆ ก็ยิ่งแย่ลง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วนะ แบรนดอนเพื่อนรักของฉันพยายามชวนฉันไปงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อนเขามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ฉันไม่อยากไป ตอนนั้นการสอบปลายภาคกำลังจะมาถึง และฉันต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ แต่เขาเอาแต่พูดว่าที่นั่นเจ๋งยังไงบ้าง และคนครึ่งโรงเรียนก็คงมาร่วมงานด้วย. เขาบอกว่าเพื่อนร่วมชั้นรวยๆ คนหนึ่งของเราจะมีบ้านทั้งหลังเป็นของตัวเองในวันนั้น ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปจะถือว่าพลาดแบบสุดๆ เลย ไม่นานฉันก็ยอมจำนน และตอบตกลงไปด้วย ฉันทำเพื่อไล่แบรนดอนให้เลิกเกาะติดตามตื๊อมากกว่า. และหลังจากนั้นฉันก็ต้องมานั่งเสียใจเอง

    เรื่องคือ ที่นั่นมีผู้ชายคนหนึ่งชื่อเดเรคด้วย โอ ฉันรำคาญเขาสุดๆ เลย เขาไล่ตามฉันไปโน่นนี่มาทั้งปีแล้วนะ! เขาชอบฉันมากจริงๆ และก็เอาแต่ไล่ตื๊อ พยายามจะขอฉันคบ แต่ฉันปฏิเสธเขาแทบจะเป็นพันครั้งแล้ว ฉันปฏิเสธที่จะไม่ไปดื่มกาแฟกับเขา หรือไปดูหนัง หรือไปไหนก็ตาม และครั้งหนึ่ง เขาถึงขนาดวางเทียนไว้หน้าบ้านฉันเป็นอักษรคำว่า “ผมชอบคุณ” ฉันต้องบอกเลยนะว่ามันน่ารักดี แต่ฉันก็ยังไม่อยากคบกับเขา เพราะเขาเป็นคนประหลาด เขาแต่งตัวแปลกๆ ชอบคุยเรื่องแปลกๆ และครั้งหนึ่ง เขาถึงขนาดตามฉันกลับบ้านมาตลอดทางเหมือนพวกโรคจิต และตอนนี้เขาก็มาอยู่ที่งานปาร์ตี้เดียวกับฉัน แล้วไม่ยอมปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพังแบบจริงๆ เลย ถึงตอนหนึ่ง พวกเรานั่งกันที่โซฟา คุยเรื่องโน่นนี่เกี่ยวกับโรงเรียน แล้วแบรนดอนก็บอกว่าเขามีเรื่องเซอร์ไพรส์ และแบรนดอนก็พาเพื่อนฉันไปกับเขา ทีนี้ฉันเลยถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวจริงๆ กับตาเดเรคคนน่าขนลุก แน่ล่ะว่าเขาเริ่มพูดอีกแล้วว่าเขาชอบฉัน และอยากคบฉันแค่ไหน

    อยากจะผ่อนคลายและสนุกกับงาน และไม่อยากทำลายบรรยากาศด้วยการพูดกับเขา ฉันก็เลยตะโกนใส่เดเรค บอกเขาว่าไม่มีทางที่อะไรในโลกจะทำให้ฉันไปคบกับเขาได้ และให้เขาไสหัวไปพ้นๆ ฉันหวังว่าในที่สุดเขาจะได้รู้ตัวเสียที และบางทีฉันก็แค่ต้องใช้วิธีปฏิเสธเขาแบบแรงๆ

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • ไงทุกคน! ชื่อของฉันคือแอนนา และฉันอายุ 14 ปี. ไม่นานมานี้ฉันเพิ่งถูกทรยศ. โอ ฉันไม่ได้หมายถึงการที่แฟนทิ้งฉันหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ แต่ถ้าเป็นเรื่องนั้นก็คงเป็นเรื่องยากเหมือนกัน แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ว่า พวกพี่ชายของฉันเพิ่งไล่ฉันออกจากบ้าน โดยไม่มีความรู้สึกผิดสำนึกใดๆ

    ฉันเดาว่า ฉันต้องเริ่มจากการเล่าเรื่องของฉันก่อนว่า แม่ของฉันเป็นภรรยาคนที่สองของพ่อ และเขามีลูกชายสองคนจากการแต่งงานครั้งแรก ดังนั้นโดยพื้นฐานก็คือ ฉันมีพี่ชายต่างแม่สองคนคือ – เดเรคและจอห์น. ฉันมีมิตรภาพที่ดีกับพวกเขาเสมอมา พวกเขาเคยมาหาพ่อของเราที่บ้าน และอยู่ด้วยนานหลายสัปดาห์ และแม่ฉันก็ดีกับพวกเขามาก ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนญาติสนิทของแม่ พ่อพาเราทั้งหมดไปพักร้อนอย่างน้อยปีละครั้ง และทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีมากๆ.

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดีทุกคน ฉันชื่อลิซ่าและฉันอายุ 18 ปี ไม่นานมานี้ ฉันพาผู้ชายที่ทำลายครอบครัวของฉันและหักอกฉันเข้ามาในบ้าน แต่กลายเป็นว่ามันไม่ใช่ความผิดของฉันคนเดียว ครอบครัวของฉันค่อนข้างร่ำรวยเพราะพ่อของฉันทำงานหนักมาก เขาเป็นนักธุรกิจ ส่วนแม่ของฉันเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยพวกเขาสร้างครอบครัวที่แข็งแรงและฉันก็คิดว่า ไม่มีอะไรมาทำลายสายสัมพันธ์ของพวกเราลงได้ แต่เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อนก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าใครคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็ก ๆ จากกลไกที่ทำงานอย่างสมบูรณ์แบบไปละก็ทุกอย่างจะพังพินาศ

    เรื่องราวเริ่มขึ้นในวันหนึ่งที่ฉันตัดสินใจที่จะโดดเรียนและกลับมาบ้านเร็วกว่าปกติ เมื่อฉันเดินเข้าไปในบ้าน ฉันต้องตกใจมากเพราะมีคนแปลกหน้ากำลังยืนอยู่ในครัวของเรา เมื่อเขาเห็นฉัน เขาก็เริ่มยิ้มอย่างกังวลและพยายามแสดงท่าทีเป็นมิตร เขาบอกว่าเขาเป็นนักศึกษาและแม่ของฉันก็กำลังติวเข้าให้เขาอยู่ พวกเราแนะนำตัวเอง เขาชื่อว่า จอร์จ ฉันพูดคุยกับเขาอยู่พักหนึ่งและสำหรับฉันเขาก็ดูเป็นคนดี ไม่นานนัก แม่ของฉันเข้ามาและเธอไม่คิดว่า จะเห็นฉันอยู่ที่บ้าน ฉันก็ตกใจเหมือนกันเพราะฉันไม่รู้ว่าแม่กำลังติวให้ใครอยู่ เธอบอกว่า เธอเพิ่งเริ่มรับติวเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อจอร์จกลับไปและแม่ก็ขอร้องให้ฉันเก็บเรื่องการติวของเธอนี้เป็นความลับ เพราะพ่อต้องหึงและเขาคงไม่เห็นด้วยกับการทำงานพิเศษของเธอ ในตอนนั้นมันก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่หรอก ยังไงก็ตาม จอร์จยังคงมาที่บ้านของเราบ่อยขึ้น และฉันก็รู้สึกดีใจ เพราะว่าเขาช่างหล่อและยังเก่งอีกด้วย แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขามีอายุมากกว่า ก็เลยยิ่งดูเท่ในสายตาของฉัน ในบางครั้ง ฉันสนุกสนานกับการพูดคุยของเราในช่วงเวลาสั้น ๆ  คุณคงเข้าใจได้ว่าฉันเริ่มตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว แต่ฉันไม่กล้าที่จะบอกเขา ตอนแรกฉันตัดสินใจที่จะบอกแม่ถึงความรู้สึกของฉัน แต่เมื่อฉันบอกเธอว่าฉันรู้สึกยังไง เธอกลับกลัวและกังวล ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะฉันก็โตพอที่จะมีแฟนได้แล้ว แต่แม่ของฉันกลับบอกให้ฉันอยู่ให้ห่างจากเขา แล้วเธอก็บอกว่า ผู้ชายอย่างเขาไม่ใช่คนที่ฉันต้องการหรอกไม่รู้สิ อาจจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขา และเธอก็เลยคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่ฉันจะทำอะไรได้? ฉันรักเขาเอามาก ๆ ฉันคิดถึงเขาตลอดเวลาและการที่แม่สั่งห้ามไม่ให้คุยกับเขาก็เหมือนยุฉันมากขึ้น ฉันเคยฝันว่า เขาเป็นเด็กเกเรที่ทุกคนคิดไปว่าเขาไม่ดี แต่ลึกลงไป เขาเป็นคนดี เหมือนในหนังเจ๋ง ๆ เข้าใจนะ แต่ฉันไม่ใช่นางเอกในเรื่องและฉันก็ไม่กล้าพอที่จะบอกความรู้สึกของฉันกับเขา ฉันเจออินสตาแกรมของเขาและฉันเอาแต่จ้องมองรูปของเขาโดยไม่ได้ทักอะไรเขาเลย โอ้ พระเจ้า ชีวิตของเขาช่างสวยงามจริง ๆ เขามีภาพมากมายจากสถานที่เจ๋ง ๆ ที่เขาไปมาแล้วทั่วโลก เขามีรถสุดเท่ โอ้ บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะพาฉันขับรถเที่ยวก็ได้...ใช่ เห็นได้ชัดเลย ว่าฉันคลั่งเขาเอามาก ๆ

    แต่แล้ววันหนึ่ง ในที่สุดฉันก็รวบรวมความกล้าและเข้าไปคุยกับเขา ฉันกำลังเดินกลับบ้าน แล้วฉันก็เห็นเขากำลังออกมาจากที่นั่น เขาดูหงุดหงิดอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็เดินผ่านฉันไป ฉันรู้สึกสับสน แต่แม่ของฉันอธิบายกับฉันว่า เธอจะไม่ติวให้เขาอีกต่อไปและนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะมาที่บ้านของเรา ในตอนนั้นฉันจำได้ว่า ฉันอาจจะเห็นเขาเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตนี้ แต่ไม่อยากจะพลาดโอกาสของฉันกับเขา! ฉันเลยรวบรวมความกล้าและตัดสินใจว่าวันนี้ฉันต้องจบเรื่องนี้ให้ได้ ฉันเลยวิ่งออกไปจากบ้านและพยายามที่จะตามเขาให้ทัน โชคดีที่เขาไปได้ไม่ไกลนัก ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันดูโง่แค่ไหนในสายตาเขาเด็กสาวที่หอบเหนื่อยพยายามที่จะชวนเขาไปดื่มกาแฟด้วยกัน....นี่มันแย่มาก แต่จอร์จคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็ยิ้มออกมา และบอกว่า “ได้สิ !” ว้าว! เขาพูดแค่ไม่กี่คำก็ทำฉันลอยขึ้นสวรรค์ไปเลย

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดี ฉันชื่อโอฟีเลีย ฉันอายุ 15 ปีและอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก เรื่องราวที่คุณกำลังจะได้ยินอาจดูแปลก ๆ และน่าขยะแขยงนิดหน่อย แต่ฉันแน่ใจว่าพวกคุณบางคนจะเข้าใจสิ่งที่ฉันได้ประสบ เรื่องของเรื่องคือ พ่อแม่ของฉันให้พวกเรากินของที่อยู่ในถังขยะ อาหารส่วนใหญ่ที่เรากินและสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมาจากที่ทิ้งขยะ ใช่ คุณเข้าใจถูกแล้ว เราใช้ของที่ถูกทิ้งและเรา..ก็กินมันด้วย ฉันคงจะพูดข้ามไปหน่อย แต่มันเป็นใจความหลัก และเรื่องนี้ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

    พวกเราไม่ใช่คนไร้บ้านหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ เราไม่ได้จนด้วยซ้ำ แต่เราก็ไม่ได้รวย เราอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ในบรู๊คลินและที่ฉันพูดว่า “เรา” ฉันหมายถึงพ่อแม่ของฉัน จีน่ากับไมค์ เดเรค น้องชายของฉันและฉัน และเพื่อให้คุณเข้าใจเรื่องนี้ ฉันต้องเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับพ่อแม่ของฉันก่อน พวกเขาทั้งสองเป็นศิลปินที่ทำตั้งแต่วาดภาพไปจนถึงศิลปะการแสดง บางครั้งพวกเขาก็จะเปิดการแสดงเพื่อเงิน แต่โดยทั่วไปชีวิตของพวกเขาวนเวียนอยู่กับศิลปะเป็นส่วนใหญ่ แม่เติบโตในครอบครัวนิวยอร์กที่รวยมากและสามารถซื้อทุกอย่างได้ แต่น่าเสียดายที่นั่นแหละสิ่งที่ทำให้แม่เป็นแม่ในตอนนี้ พ่อแม่ยังกระตือรือร้นทั้งในทางสังคมและการเมือง ฉันยังจำได้ว่าได้ไปชุมนุมและประท้วงกับทั้งพวกเขาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กน้อย และฉันบอกได้เลยว่าพ่อแม่จริงจังในการทำให้โลกของเราดีขึ้นไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็ตาม กิจกรรมที่สำคัญมากของพวกเขาคือฟรีแกน

    ส่วนใหญ่พ่อแม่จะออกไปหาอาหารด้วยตัวเองและมีแค่ไม่กี่ครั้งที่พวกเราจะต้องออกไปด้วย แค่จะพูดให้เข้าใจนะ ในแง่อื่นเราก็เป็นครอบครัวธรรมดาทั่วไป เราอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่พ่อแม่ของแม่ทิ้งไว้ให้ ฉันไปโรงเรียนธรรมดาและฉันก็ได้เงินค่าขนมด้วย ที่โรงเรียนเป็นที่ที่เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้น ฉันมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อบิลและเขานิสัยแย่มาก ๆ เขาอยู่ห่างออกไปไม่กี่บล็อกจากเรา แต่โชคดีที่ครอบครัวของเรายังไม่เคยเจอกัน วันหนึ่งเขามาที่โรงเรียนและบอกทุกคนว่าเขาเห็นพ่อแม่ของฉันที่ที่ทิ้งขยะใกล้บ้านของเขาและอย่างที่คุณก็รู้ มันคงเป็นเรื่องจริง แต่แหงล่ะ ฉันอายและปฏิเสธทุกอย่างและเริ่มพูดว่าเขาน่าจะจำผิด อะไรทำนองนั้นแหละ แต่มันก็ไม่ได้หยุดเขา เป็นเวลาสามสี่สัปดาห์ที่ฉันได้ยินเรื่องตลกว่าครอบครัวของฉันใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยของจากที่ทิ้งขยะ และเมื่อผ่านไปหนึ่งเดือน เรื่องที่ทิ้งขยะทั้งหมดก็ถูกลืมไปและทุกอย่างกลับไปเป็นปกติอีกครั้ง จนกระทั่งวันนี้

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดีผมชื่ออเล็กซ์ เพื่อนๆของผมทุกคนบอกผมว่า ผมควรจะมาแชร์เรื่องราวของผมให้โลกรู้ ผมตัดสินใจอยู่พักหนึ่งและตอนนี้ผมก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว เอาล่ะเริ่มกันเลย พ่อแม่ของผมเป็นคนที่ร่ำรวยมาก แต่ผมไม่ได้พยายามคุยโอ้อวดคุณหรอกนะ เพราะผมไม่ได้ทำตัวเหมือนลูกคุณหนูหรืออะไรเลย และผมก็ไม่ได้เป็นเด็กที่ร่ำรวยด้วย ใช่คุณฟังไม่ผิดหรอก แม้ว่าพ่อและแม่ของผมจะรวยมหาศาล แต่ผมกลับเป็นเด็กที่ยากจนสุดๆ ผมอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆที่ตั้งอยู่ข้างๆคฤหาสน์ของพ่อและแม่ ผมได้เงินค่าขนมเพียงเล็กน้อยจากพวกเขาเท่านั้น โอเค ผมว่าผมควรต้องอธิบายอะไรบางอย่างก่อน

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • ผมรู้ว่า ผมเป็นแค่ภาระของแม่ ตั้งแต่ที่พ่อทิ้งเราไป แม่ก็สิ้นหวังและไม่มีความสุข ผมเป็นเพียงแค่เครื่องเตือนความจำถึงความผิดพลาดในอดีต ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็คบกับใครไม่ได้ เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนอยากคบกับผู้หญิงที่มีลูกแล้ว แม่ไปออกเดทบ่อย ๆ และพยายามสร้างความสัมพันธ์ แต่เมื่อแม่บอกกับคนที่เดทด้วยเรื่องผม แฟนของแม่ก็หายตัวไปในทันที ยิ่งทำให้แม่ผิดหวังหนักกว่าเดิม เพราะงั้นลองคิดดูว่า แม่จะดีใจขนาดไหนเมื่อแม่ได้คบกับผู้ชายที่พร้อมจะคบกับแม่อย่างจริงจังและไม่กลัวในที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องลูก หมายถึงผมน่ะ ในตอนแรกเขามาที่บ้านบางครั้งเพื่อกินข้าวเย็นและเขาก็ดูเหมือนผู้ชายธรรมดา เขาชื่อเกร็ก เขาเป็นทหารและเขามีคุณสมบัติทุกอย่างของการเป็นทหาร เขาเสียงดังหนักแน่น ตรงต่อเวลามากและเขาชอบความเป็นระเบียบวินัย แม่รักเกร็กมากและบอกว่าผมจะได้เรียนรู้อะไรมากมายจากเขา อืม เจอเขานานๆ ทีมันก็พอไหวแต่มันเป็นอีกเรื่องเลยกับการต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันและคุณหนีจากการควบคุมของเขาไม่ได้

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดี ทุกคน! ฉันชื่อไรลีย์ และฉันมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจมากมาย ฉันคิดว่าถ้าฉันแชร์เรื่องราวของฉันมันจะช่วยทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นสักหน่อย เหตุการณ์ที่แย่ที่สุดส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ อุบัติเหตุโง่ ๆ แต่ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าการทำอะไรไม่คิดของฉันตอนวัยรุ่นจะทำลายครอบครัวของฉันไปตลอดกาล

    ฉันคงไม่กล้าพูดว่าครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่ดีพร้อมแต่แรก พ่อมักจะใช้คำพูดหยาบคายและใจแคบมาก ๆ พ่อทำงานในอู่ซ่อมรถมาทั้งชีวิตและมันก็เห็นได้ชัดว่ามันแทบไม่พอเลี้ยงครอบครัวซึ่งเป็นเหตุผลที่พ่อกับแม่มันจะเถียงและทะเลาะกันเป็นประจำ ฮันเตอร์ พี่ชายของฉัน ต้องเรียนไปด้วยและช่วยพ่อทำงานที่อู่ซ่อมรถไปด้วย แต่พี่ไม่เคยบ่น ส่วนกิจวัตรประจำวันของฉันคืองานบ้านที่ไม่เคยจบสิ้น พวกเราพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แต่แม่ของฉันไม่เคยพอใจเลย ฉันคิดว่าแม่ฝันถึงชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ตลอดเวลา แต่ยังไงก็ตามถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างที่ว่ามาแต่เราก็ยังคงเป็นครอบครัว แล้วบางอย่างก็เกิดขึ้น พ่อออกไปนอกเมืองสองสามวันเพราะต้องไปเอาอุปกรณ์และเครื่องมือใหม่อะไรทำนองนั้น พ่อตื่นเต้นมาก! บอกซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพ่อได้ออเดอร์ใหญ่ที่จะทำเงินได้เยอะ หุ้นส่วนของพ่อมีรถบรรทุก ดังนั้นมันเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่พ่อไม่ได้ใช้รถสุดรักของพ่อ และจะบอกให้นะ มันเป็นของที่แพงที่สุดอย่างเดียวที่ครอบครัวเรามี ฮันเตอร์กับฉันต้องถูกฆ่าแน่ถ้าเอามันไปขับ! และตอนนี้เราก็มีโอกาสแล้ว! ฉันขอร้องพี่ชายให้เอารถออกมาขับแค่แป๊ปเดียวก็ยังดี! มันล่อใจมาก แต่ฮันเตอร์ยืนยันว่ามันเสี่ยงเกินไป เพราะงั้นเราเลยตกลงกันว่าเราจะไม่แตะต้องรถไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ก็อย่างที่คุณก็คงเดาไว้แล้ว ฉันทำผิดสัญญา

    ตอนกลางดึก ฉันส่งข้อความหาเพื่อนและบอกว่าเราควรไปหาอะไรสนุก ๆ ทำกันและฉันก็แทบไม่ต้องเสียเวลาเกลี้ยกล่อมเพื่อน ๆ เลย ฉันวางแผนไว้หมดแล้ว ฮันเตอร์ไปหาแฟนและแม่ก็หลับสนิทอยู่ในห้องนอน ฉันขโมยกุญแจรถและเพื่อน ๆ กับฉันก็แอบออกไปที่สวน พวกเราอย่างกับนินจาแน่ะ! เมื่อเราขับรถออกไปไกลพอเราก็ขับเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ฉันรู้สึกอิสระเหมือนนกแล้วก็ ตูม! รถชนขับกับอะไรสักอย่างในความมืดและเราก็เสียการควบคุม ในที่สุดพอเราหยุดรถได้และได้พักหายใจหายคอ เราก็เห็นว่ารถเสียหายหนักมาก!

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • ฉันมีแฟนที่คอยช่วยเหลือฉันเกี่ยวกับเรื่องเรียน และตอนนี้ ทั้งน้องสาวและแฟนของฉันบอกว่า ฉันแค่อยากจะใช้เขาเพื่อทำการบ้านให้และคอยช่วยให้ฉันโกงตอนสอบ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง น้องสาวของฉันชื่อ ลอรี่ เธออายุน้อยกว่าฉัน 1 ปี และเป็นคนที่เรียนหนังสือทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเธอก็มีความตั้งใจดี อีกทั้งยังรู้ตัวเองแล้วด้วยว่าอยากทำงานด้านเภสัชกรรมและช่วยหาวิธีรักษาโรคมะเร็ง ในโรงเรียน เธอได้เกรดดีมากๆ ซึ่งต่างจากฉัน เพราะฉันไม่ชอบเรียนเลย เหตุผลก็คือ ฉันไม่มีความจำเป็นต้องใช้ค-ณิ-ต และ เค-มี ฉันอยากเป็นนางแบบ จึงชอบที่จะใช้เวลาออกกำลังกาย หรือเรียนรู้เกี่ยวกับความสวยความงามต่างๆ มากกว่าที่จะเข้าแล็ปและทำข้อสอบ แต่ฉันก้ตระหนักได้ว่าตัวเองก็ต้องสอบให้ผ่านเหมือนกัน อย่างน้อยก็ทำให้พ่อแม่มีความสุข

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดียามบ่ายนะ! ฉันชื่อมาร์ช่า ฉันอายุ 14 ขวบและฉันก็มีความผิดโทษฐานที่ฉันเป็นเด็กวัยรุ่นเกเร ฉันเคยคิดว่าคุณย่าของฉันไม่ได้รักฉันสักเท่าไหร่ ซึ่งฉันก็ไม่ได้รักเธอกลับ แต่ในตอนนี้เธอเสียไปแล้วฉันก็พบว่าน่าเศร้าที่ฉันคิดผิดไปเองและฉันก็รู้สึกอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟัง ทุกอย่างเริ่มประมาณเกือบสองปีที่แล้ว ในตอนที่พ่อกับแม่หย่ากัน เป็นแม่ของฉันเองที่ขนของหนีจากพ่อไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น ซึ่งก็ชัดเจนว่าแม่ไม่ได้วางแผนจะพาฉันไปด้วยเลย เพราะว่าฉันต้องอยู่กับพ่อ แล้วพ่อก็เป็นคนชอบทำงานมากกว่าชอบที่จะมาเป็นพ่อคน ฉันก็เลยต้องย้ายไปอยู่กับแม่ของเขา คุณย่าแอน

    เธอเป็นคนขี้โมโหง่ายอยู่แล้ว พวกเราก็เข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำมันกับน้ำ ยกตัวอย่างนะ เวลาที่ฉันอยากจะไปหาเพื่อนของฉัน ย่าก็มักจะหางานบ้านให้ฉันทำแทน แล้วถ้าฉันตัดสินใจไม่ทำมันในตอนนั้น ย่าก็จะกักบริเวณฉันโดยการปิดสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่ให้ฉันใช้ และมีอยู่ครั้งหนึ่งนะ ย่าตีฉันที่ข้อมือเพราะเธอบอกว่า ฉันมีท่าทางที่แปลกประหลาดเวลากำลังล้างจาน รอยแดงพวกนี้ที่ย่าทำมันอยู่นานถึงสามวันเลยทีเดียว แน่นอน ฉันบ่นเรื่องของย่าให้พ่อฟัง แต่เขาก็ไม่ได้แคร์ฉันเท่าไหร่เลย แต่ก็มีช่วงเวลาหนึ่ง… ที่เป็นจุดเปลี่ยนในความสัมพันธ์ของพวกเรา ให้ตายเถอะ ในตอนนี้มันช่างพูดยากเหลือเกิน ฉันรู้ว่าคุณย่าแอนรู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นตัวประหลาด อย่างผู้ชายที่ทำผมทรงโมฮอว์ก หรือผู้หญิงที่เจาะใบหน้า ก็เลยมีวันหนึ่งหลังจากที่เธอเทศนาสอนฉันเรื่องที่ฉันควรจะทำตัวให้ดีขึ้น ฉันก็ตัดสินใจที่จะเอาคืนซะบ้าง

    ฉันตัดผมฉันออกหมดเลยและย้อมเป็นสีชมพู ซึ่งฉันรู้ว่าจะทำให้คุณย่าแอนโมโหสุด ๆ แน่นอน คุณต้องเห็นตอนที่เธอเห็นฉันกลับบ้านมากับลุคใหม่ของฉัน ขณะที่เธอกำลังมีเพื่อน ๆ เป็นแขกมาที่บ้าน เธอไม่สามารถตะโกนว่าฉันหรือทำอะไรต่อหน้าคนอื่นได้ แต่เธอมองฉันด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความโกรธและความผิดหวังที่เธอมีต่อฉันในเวลานั้น ฉันรู้ว่าฉันจะต้องถูกลงโทษและกักบริเวณอย่างหนัก แต่มันก็เป็นความเสียสละที่คุ้มค่า ย่าจะต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นที่มีหลานสาวเป็นตัวประหลาดฉันคิดว่านะ

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support
  • สวัสดีทุกคน ฉันชื่อเอ็มม่านะ และฉันอายุ 16 ขวบ ไม่นานมานี้พวกเราเพิ่งเสียบ้านไปเพราะว่าพ่อของฉัน และฉันกับน้องชายก็ต้องมีสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่มากเลย แต่แล้วฉันก็ทำในสิ่งที่ไม่ค่อยดีนัก ที่ทำให้พวกเราได้กลับมามีชีวิตที่ปกติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งฉันก็ไม่ได้เสียใจอะไรเลย

    ครอบครัวเรามักจะมีปัญหาอยู่ตลอดเวลาเพราะว่างานอดิเรกของพ่อ เขามักจะเล่นโป๊กเกอร์ ซึ่งเขาก็จะกลับบ้านมาดึก ๆ และบอกข่าวร้าย ว่าเขาเสียเงินไปบ่อยครั้งมาก หลังจากนั้นเขาก็จะทะเลาะกับแม่ แล้วเขาก็จะหยุดเล่นไปสักพักหนึ่ง แต่แล้วเขาก็กลับไปเล่นอีกแบบนี้เรื่อย ๆ ในตอนนี้มันคงไม่ใช่แค่งานอดิเรกแล้ว แต่มันคือการเสพติด แต่ไม่มีใครโน้มน้าวใจพ่อได้เลย ไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่แม่ รวมถึงไม่ใช่น้องชายที่อายุได้เพียง 5 ขวบซึ่งต้องการความอบอุ่น พ่อของฉันไม่กังวลในเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว

    พวกเราไม่ได้มีเงินมากนักในตอนนี้ แม่ของฉันต้องทำงานหนักมาก ตั้งแต่อายุ 16 ฉันต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อที่จะให้ตัวเองได้มีเงินค่าขนมใช้ และก็พยายามช่วยครอบครัวอีกด้วย ถ้าให้พูดละก็ ฉันใช้ช่วงเวลาไฮสคูลที่ควรจะแสนสนุกไปกับการไม่ปาร์ตี้กับใครเลย ไม่ออกไปไหนกับแฟนหนุ่ม แต่ต้องทำงาน และฉันก็ต้องบอกเลยนะว่า มันก็มีช่วงเวลาที่ดี ๆ อยู่เหมือนกันแหละ เพราะว่า “ความชอบ” ของพ่อ เขาเลยเป็นคนที่เก่งตัวเลขและเรื่องทฤษฎีความน่าจะเป็นมาก นั่นทำให้ฉันได้เกรดเอวิชาคณิตตลอดเลยเพราะบางครั้งเขาก็จะมาสอนวิชานี้ให้กับฉัน นอกจากนั้นแล้ว เขายังสอนให้ฉันเข้าใจอารมณ์ของคนอื่นด้วยนะ นี้เป็นความสามารถที่ไม่ได้เหมาะแค่กับการเล่นโป๊กเกอร์เท่านั้น ฉันเข้าใจทุกครั้งเลยเวลาที่เพื่อนร่วมห้องของฉันโกหกหรือซ่อนอะไรบางอย่าง นี่ก็คือชีวิตของพวกเรายังไงละ มันก็เป็นเพียงความสุขเล็ก ๆ ในเกมของพ่อฉัน

    --- Support this podcast: https://anchor.fm/theourstory/support