エピソード

  • 13 Things Mentally Strong People Don’t Do” โดย Amy Morin

    แต่ในตอนนี้ ผมคัดมาให้เน้น ๆ 10 สิ่งที่คนที่แข็งแกร่งทางจิตใจจะไม่ทำ ที่ผมคิดว่าเหมาะกับคนฟังของเรามากที่สุด

    [ช่วงที่ 1: ความหมายของความแข็งแกร่งทางจิตใจ]

    ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “ความแข็งแกร่งทางจิตใจ” คืออะไร?

    มันไม่ใช่การทำตัวเข้มแข็ง ไม่ร้องไห้ หรือไม่รู้สึกอะไรเลย แต่คือการรู้จักควบคุมอารมณ์ มีวินัยในตัวเอง และสามารถลุกขึ้นได้เมื่อชีวิตล้มลง

    คนที่แข็งแกร่งทางจิตใจไม่ใช่คนที่ไม่เคยเจอปัญหา แต่คือคนที่ ไม่ยอมให้ปัญหาเหล่านั้นควบคุมชีวิตของเขา

    [ช่วงที่ 2: 10 สิ่งที่คนแข็งแกร่งทางจิตใจไม่ทำ]

    ​ ไม่เสียเวลาเสียดายตัวเอง​ พวกเขาไม่มัวแต่จมอยู่กับความสงสารตัวเอง​ แทนที่จะถามว่า “ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดกับฉัน” พวกเขาจะถามว่า “ฉันจะเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง”​ ไม่ยอมให้คนอื่นควบคุมชีวิตของตัวเอง​ คนที่แข็งแกร่งจะไม่ให้ใครมากำหนดความสุขหรืออารมณ์ของเขา​ เขาเลือกที่จะมีอำนาจเหนือความรู้สึกของตัวเอง​ ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง​ พวกเขารู้ว่าโลกเปลี่ยนตลอดเวลา และเลือกที่จะปรับตัวมากกว่าต่อต้าน​ ความไม่แน่นอนไม่ใช่ศัตรู แต่มันคือโอกาสในการเติบโต​ ไม่เสียพลังไปกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้​ เช่น สภาพอากาศ การจราจร หรือพฤติกรรมของคนอื่น​ พวกเขาโฟกัสแค่สิ่งที่ควบคุมได้ เช่น การตอบสนองของตัวเอง​ ไม่พยายามทำให้ทุกคนพอใจ​ เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้​ พวกเขาซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และกล้าที่จะพูดว่า “ไม่” เมื่อจำเป็น​ ไม่กลัวที่จะเสี่ยงอย่างมีเหตุผล​ พวกเขาไม่ใช่คนบ้าบิ่น แต่กล้าเสี่ยงแบบคำนวณไว้แล้ว​ เพราะรู้ว่าการเติบโตมักอยู่ในพื้นที่ที่ไม่สบายใจ​ ไม่ยึดติดกับอดีต​ พวกเขาเรียนรู้จากอดีต แต่ไม่ปล่อยให้อดีตมากำหนดปัจจุบัน​ พวกเขารู้ว่า “สิ่งที่เคยเกิดขึ้น” ไม่ใช่ “สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอีก”​ ไม่ทำผิดซ้ำ ๆ​ เมื่อพลาด เขาจะวิเคราะห์และปรับปรุง ไม่ใช่โทษโชคหรือคนอื่น​ พวกเขาเติบโตจากบทเรียน ไม่ใช่จากการหนีปัญหา​ ไม่อิจฉาความสำเร็จของคนอื่น​ พวกเขามองความสำเร็จของผู้อื่นเป็นแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ภัยคุกคาม​ เพราะรู้ว่าทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง​ ไม่ยอมแพ้หลังจากล้มเหลว​ ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้

    • พวกเขาลุกขึ้นใหม่ทุกครั้งที่ล้มลง และเข้มแข็งขึ้นทุกครั้ง

    [ช่วงที่ 3: สรุปและแรงบันดาลใจ]

    ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้ “เกิดมาเข้มแข็ง” แต่เพราะเขา “เลือกที่จะฝึกตัวเอง” ให้มีวินัยทางความคิด อารมณ์ และการกระทำในทุกวัน

    ถ้าคุณอยากเป็นคนที่แข็งแกร่งทางจิตใจ ไม่ต้องเปลี่ยนทุกอย่างในชั่วข้ามคืน แต่เริ่มจาก การไม่ทำหนึ่งอย่าง ที่ไม่ช่วยคุณ แล้วค่อย ๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ

    จำไว้ว่า จิตใจที่แข็งแกร่งไม่ได้มาจากความโชคดี แต่มาจากการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ

  • **The Subtle Art of Not Giving a F*ck** โดย **Mark Manson**

    หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกให้คุณ "มองโลกในแง่ดี" หรือ "คิดบวกเข้าไว้" แต่สอนให้เรา **เลือกสิ่งที่ควรแคร์และปล่อยวางสิ่งที่ไม่สำคัญ** เพื่อให้เรามีความสุขและใช้ชีวิตได้อย่างแท้จริง

    ---

    ### **[ช่วงที่ 1: แก่นแท้ของหนังสือ]**

    หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามกับแนวคิดที่ว่า "เราควรมีชีวิตที่ไม่มีปัญหาและความทุกข์" Mark Manson บอกว่า **ชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการหลีกเลี่ยงปัญหา แต่มันขึ้นอยู่กับการเลือกปัญหาที่เรายินดีจะรับมือ**

    ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูล ข่าวสาร และโซเชียลมีเดียที่ทำให้เรารู้สึกว่า "เราต้องแคร์ทุกอย่าง" หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เราตระหนักว่า **เราไม่สามารถให้ความสำคัญกับทุกเรื่องได้** เราต้องเลือกว่าจะให้ความสำคัญกับอะไร และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป

    ---

    ### **[ช่วงที่ 2: 5 แนวคิดสำคัญจากหนังสือ]**

    ผมได้คัดเลือก **5 แนวคิดที่ทรงพลังที่สุด** จากหนังสือเล่มนี้ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

    #### **1. ความสุขไม่ได้มาจากการไม่มีปัญหา แต่มาจากการเลือกปัญหาที่เรายินดีจะรับมือ**

    หลายคนคิดว่าความสุขคือการใช้ชีวิตแบบไร้ปัญหา แต่ความจริงคือ **ปัญหามีอยู่ทุกที่ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกปัญหาแบบไหน**

    - ถ้าคุณอยากมีร่างกายที่ดี คุณต้องยอมรับความเหนื่อยจากการออกกำลังกาย

    - ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในอาชีพ คุณต้องยอมรับแรงกดดันและความเสี่ยง

    แทนที่จะถามว่า *"ฉันอยากมีชีวิตแบบไหน?"* ให้ถามว่า *"ฉันยอมรับปัญหาแบบไหนได้?"* แล้วคุณจะพบว่าความสุขของคุณอยู่ตรงไหน

    #### **2. คุณไม่ใช่คนพิเศษ และโลกนี้ไม่ได้เป็นหนี้คุณ**

    Mark Manson ท้าทายแนวคิดที่ว่า "ทุกคนเป็นคนพิเศษและควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด" ความจริงคือ **ไม่มีใครที่พิเศษโดยกำเนิด และโลกนี้ไม่ได้ติดหนี้อะไรเราเลย**

    การที่เรายอมรับความจริงข้อนี้ จะทำให้เราหยุดเรียกร้องสิ่งต่างๆ และเริ่มลงมือทำเพื่อสร้างสิ่งที่เราต้องการจริงๆ

    #### **3. ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันคือหนทางสู่ความก้าวหน้า**

    ในโลกที่เต็มไปด้วยความกดดัน หลายคนกลัวความล้มเหลว แต่ความจริงคือ **คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ล้มเหลวมากกว่าคนทั่วไป**

    - Michael Jordan เคยพลาดลูกชู้ตสำคัญนับพันครั้ง

    - Thomas Edison ล้มเหลวมากกว่า 1,000 ครั้งก่อนจะประดิษฐ์หลอดไฟได้

    แทนที่จะกลัวความล้มเหลว ให้มองว่ามันคือกระบวนการเรียนรู้ และเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ

    #### **4. คุณจะมีอิสรภาพ เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง**

    Mark Manson บอกว่า **การยอมรับความจริงว่าเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ จะทำให้เรามีอิสรภาพที่แท้จริง**

    - ถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่สามารถเป็นที่รักของทุกคนได้ คุณจะไม่เสียเวลาพยายามเอาใจทุกคน

    - ถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่สามารถเก่งทุกอย่างได้ คุณจะเลือกมุ่งเน้นสิ่งที่คุณทำได้ดีที่สุด

    เมื่อเรายอมรับข้อจำกัดของตัวเอง เราจะสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุขมากขึ้น

    #### **5. ค่าของคุณขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณให้ความสำคัญ**

    สุดท้ายแล้ว **ชีวิตของคุณมีค่าแค่ไหน ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณเลือกให้ความสำคัญ**

    - ถ้าคุณให้ความสำคัญกับเงินมากกว่าครอบครัว คุณอาจจะมีเงินมาก แต่ขาดความอบอุ่น

    - ถ้าคุณให้ความสำคัญกับการสร้างผลกระทบต่อสังคม คุณอาจไม่รวยมาก แต่คุณจะมีความหมายในชีวิต

    ถามตัวเองว่า *"ฉันให้ความสำคัญกับอะไรในชีวิต?"* คำตอบของคุณจะเป็นตัวกำหนดว่าชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร

    ---

    ### **[ช่วงที่ 3: ข้อคิดและการนำไปใช้]**

    1. **เลือกปัญหาที่คุณพร้อมจะรับมือ** แทนที่จะพยายามหลีกเลี่ยงปัญหา ให้เลือกปัญหาที่คุ้มค่ากับคุณ

    2. **ยอมรับว่าคุณไม่ใช่คนพิเศษ** แล้วลงมือทำสิ่งที่สำคัญกับคุณ

    3. **มองความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ** และใช้มันเป็นบทเรียนในการเติบโต

    4. **ยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง** แล้วใช้ชีวิตให้เต็มที่ในแบบของคุณ

    5. **เลือกให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีค่า** และตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป

    ---

    วันนี้เราได้พูดถึง *The Subtle Art of Not Giving a F*ck* และแนวคิดที่สามารถเปลี่ยนวิธีคิดของเราได้ หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สอนให้เราหยาบคายหรือไม่สนใจอะไรเลย แต่สอนให้เรา **เลือกสิ่งที่ควรแคร์ และปล่อยวางสิ่งที่ไม่สำคัญ**

    สุดท้ายแล้ว **ชีวิตที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการไม่มีปัญหา แต่ขึ้นอยู่กับการ

    ”เลือก” ปัญหาที่เรายินดีจะรับมือ**

  • エピソードを見逃しましたか?

    フィードを更新するにはここをクリックしてください。

  • หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว มันทำให้ผมคิดถึง Episode Podcast ที่เราจะมาคุยกันวันนี้ครับ..

    วันนี้เราจะมาพูดถึงหนังสือที่ทรงพลังและกระตุ้นให้เราฉุกคิดเกี่ยวกับชีวิตของเราเอง นั่นก็คือ “The Top Five Regrets of the Dying” หรือ “5 ความเสียใจของผู้ที่ใกล้ตาย”

    หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Bronnie Ware ซึ่งเป็นอดีตพยาบาลดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เธอได้พูดคุยและสังเกตความรู้สึกของผู้ป่วยที่กำลังเผชิญหน้ากับวาระสุดท้ายของชีวิต และพบว่ามี 5 สิ่งที่คนส่วนใหญ่เสียใจที่สุดก่อนจากโลกนี้ไป

    ถ้าพร้อมแล้ว ไปสำรวจ 5 ความเสียใจที่เราสามารถเรียนรู้และหลีกเลี่ยงได้กันครับ

    1. ฉันหวังว่าฉันมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ต้องการ ไม่ใช่ตามที่คนอื่นคาดหวัง

    หนึ่งในความเสียใจที่พบบ่อยที่สุดคือ การไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ แต่กลับทำตามความคาดหวังของสังคมหรือครอบครัว หลายคนเลือกเรียนหรือทำงานในสายที่ไม่ได้รัก เพียงเพราะมันดูมั่นคง หรือทำให้คนรอบข้างพอใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลับรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไปไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา

    สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    • จงถามตัวเองเสมอว่า “นี่คือชีวิตที่ฉันต้องการจริงๆ หรือเปล่า?”

    • อย่าปล่อยให้เสียงของคนอื่นดังกว่าเสียงของหัวใจตัวเอง

    • ถ้าคุณมีความฝัน ลองให้โอกาสตัวเองได้ทำ อย่ารอจนสายเกินไป

    2. ฉันหวังว่าฉันไม่ได้ทำงานหนักเกินไป

    ผู้ชายเกือบทุกคนที่ Bronnie ดูแลต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเสียใจที่ ใช้เวลากับงานมากเกินไป จนพลาดช่วงเวลาดีๆ กับครอบครัวและคนรัก หลายคนมุ่งมั่นสร้างฐานะ จนไม่ได้อยู่ดูแลลูกๆ หรือใช้เวลาสร้างความสัมพันธ์กับคนสำคัญ

    สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    • งานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ อย่าปล่อยให้มันกลืนกินทั้งชีวิตของคุณ

    • หาเวลาให้กับครอบครัว เพื่อน และตัวเอง เพราะความทรงจำที่ดีไม่มีวันย้อนกลับมาได้

    • จัดสมดุลชีวิตให้ดี อย่ารอจนเกษียณแล้วค่อยใช้ชีวิต

    3. ฉันหวังว่าฉันกล้าแสดงความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้

    หลายคนเลือกที่จะเก็บความรู้สึกไว้ ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวถูกปฏิเสธ หรือกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขากลับเสียใจที่ไม่ได้บอกความรู้สึกเหล่านั้นออกไป

    สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    • อย่ากลัวที่จะพูดในสิ่งที่รู้สึก ถ้าคุณรักใคร จงบอกเขา

    • ถ้าคุณไม่พอใจอะไร จงแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ แทนที่จะเก็บมันไว้จนกลายเป็นความขมขื่น

    • การแสดงความรู้สึกออกไปเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบางครั้งเราอาจไม่มีโอกาสได้ทำมันอีก

    4. ฉันหวังว่าฉันใช้เวลากับเพื่อนมากกว่านี้

    เมื่อผู้คนเข้าสู่วัยชรา พวกเขาตระหนักว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงสำคัญกว่าทรัพย์สินหรือความสำเร็จทางอาชีพ หลายคนเสียใจที่ปล่อยให้เพื่อนเก่าห่างหายไป เพราะมัวแต่ยุ่งกับชีวิตตัวเอง

    สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    • อย่าปล่อยให้มิตรภาพจางหายไป เพราะเวลาผ่านไป เราอาจไม่สามารถย้อนกลับไปหาเพื่อนคนนั้นได้อีก

    • หาเวลาติดต่อเพื่อนเก่า นัดพบปะกันบ้าง

    • ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่าและมีความสุข

    5. ฉันหวังว่าฉันปล่อยให้ตัวเองมีความสุขมากกว่านี้

    หลายคนใช้ชีวิตอยู่ในกรอบของ “ความคาดหวัง” และ “ความกลัว” จนลืมไปว่า ความสุขเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ บางคนยึดติดกับความสมบูรณ์แบบ หรือกลัวการเปลี่ยนแปลงจนไม่กล้าทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุข

    สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    • อย่ารอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบก่อน แล้วค่อยมีความสุข จงหาความสุขจากสิ่งเล็กๆ ในชีวิต

    • ปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เครียด หรือความกังวลที่ไม่จำเป็น

    • ชีวิตมีค่าเกินกว่าที่จะใช้ไปกับความทุกข์

    วันนี้เราได้พูดถึง “5 ความเสียใจของผู้ที่ใกล้ตาย” ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญในการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า

    1. จงกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบของตัวเอง

    2. อย่าทำงานหนักจนละเลยคนที่รัก

    3. กล้าแสดงความรู้สึกของตัวเอง

    4. ให้ความสำคัญกับมิตรภาพและความสัมพันธ์

    5. อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข

    สุดท้ายนี้ ผมอยากให้ทุกคน ใช้ชีวิตอย่างที่ไม่ต้องมีความเสียใจในวันสุดท้าย ทำในสิ่งที่อยากทำ บอกรักคนที่อยากบอก และหาความสุขจากปัจจุบัน

  • New York Times Bestseller Book - 48 Lows of Power

    [ช่วงที่ 1: หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร?]

    The 48 Laws of Power เป็นหนังสือที่วิเคราะห์วิธีที่บุคคลผู้มีอำนาจ เช่น พระราชา ผู้นำ นักการเมือง และนักธุรกิจ ใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการควบคุมและสร้างอิทธิพล หนังสือเล่มนี้นำเรื่องราวของบุคคลสำคัญในอดีตมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เราเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้ถูกนำไปใช้จริงอย่างไร

    แต่ต้องบอกก่อนว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ได้แนะนำให้ทุกคนต้อง “ใช้เล่ห์กล” หรือ “เป็นคนร้าย” แต่เป็นการสอนให้เรารู้เท่าทันอำนาจ และปกป้องตัวเองจากคนที่ใช้กลยุทธ์เหล่านี้กับเรา

    [ช่วงที่ 2: กฎ 5 ข้อที่สำคัญที่สุดจากหนังสือ]

    ในบรรดา 48 กฎ ผมคัดเลือกมา 5 กฎที่สำคัญและสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตจริง

    ​ ห้ามบดบังแสงของผู้ที่อยู่เหนือกว่า (Never Outshine the Master)​ ความหมาย: กฎนี้พูดถึงการที่เราควรรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและมีความเคารพต่อผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าเรา เช่น เจ้านายหรือหัวหน้าที่มีอำนาจเหนือเรา การแสดงความเก่งกาจหรือการเป็นที่สนใจมากเกินไปอาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ และกลายเป็นภัยในอนาคต​ วิธีที่ควรใช้: แทนที่จะพยายามโดดเด่นจนเกินไป ให้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นคนที่เก่งที่สุดในห้องและมีอำนาจที่สุด การให้การยอมรับและสนับสนุนในความคิดเห็นของพวกเขาจะช่วยให้คุณได้ความไว้วางใจและการสนับสนุนจากพวกเขามากขึ้น​ ตัวอย่างในประวัติศาสตร์: เช่นในกรณีของ Nicolas Fouquet ซึ่งในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เขาพยายามแสดงความร่ำรวยและความเก่งกาจของตัวเองจนเกินไป ซึ่งทำให้พระเจ้าหลุยส์ทรงไม่พอพระทัย และส่งผลให้เขาถูกจำคุกไปในที่สุด

    ​ พูดให้น้อย ฟังให้มาก (Say Less Than Necessary)​ ความหมาย: การพูดมากเกินไปไม่เพียงแต่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการพูดผิดพลาด แต่ยังทำให้คุณสูญเสียอำนาจในการควบคุมสถานการณ์ไปด้วย คำพูดมากมายมักจะนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลที่ไม่จำเป็น ซึ่งอาจถูกใช้ย้อนกลับมาเล่นงานเราได้​ วิธีที่ควรใช้: พูดเท่าที่จำเป็นและมีความหมาย เมื่อคุณพูดน้อยลง จะทำให้คนอื่นต้องใช้ความพยายามในการคาดเดาความคิดของคุณ ซึ่งทำให้คุณมีอำนาจในการควบคุมการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ที่มีความน่าสนใจ​ ตัวอย่างในประวัติศาสตร์: Julius Caesar หรือ Napoleon Bonaparte ทั้งสองมีความสามารถในการพูดน้อยและเลือกใช้คำพูดให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถครอบครองความสนใจและความเคารพจากคนรอบข้างได้

    ​ ใช้เสน่ห์และจิตวิทยาเพื่อสร้างอิทธิพล (Use Charm and Psychology to Influence Others)​ ความหมาย: การใช้เสน่ห์และจิตวิทยาเป็นเครื่องมือที่มีพลังมากในการสร้างอิทธิพล โดยไม่จำเป็นต้องใช้กำลังหรือความรุนแรง การเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และความต้องการของผู้อื่น จะทำให้คุณสามารถโน้มน้าวใจพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ​ วิธีที่ควรใช้: คุณสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นโดยการฟังและเข้าใจพวกเขา สร้างความเชื่อมโยงที่ทำให้พวกเขารู้สึกพิเศษและมีความสำคัญ ซึ่งจะทำให้พวกเขายินดีที่จะทำตามคำแนะนำหรือคำสั่งของคุณ​ ตัวอย่างในประวัติศาสตร์: Cleopatra ใช้เสน่ห์และจิตวิทยาในการสร้างความสัมพันธ์กับสองผู้นำใหญ่คือ Julius Caesar และ Mark Antony โดยการใช้การสื่อสารที่เฉียบคมและเสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้ ซึ่งช่วยให้เธอสามารถขยายอำนาจของตัวเองในยุคโบราณ

    ​ รักษาภาพลักษณ์ให้ลึกลับ (Always Keep Others in Suspense: Cultivate an Air of Mystery)​ ความหมาย: การที่คุณไม่เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างให้คนอื่นรู้ จะทำให้คุณสามารถควบคุมความสนใจและรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองให้น่าสนใจ คนจะอยากรู้ว่าคุณคิดอะไรและทำอะไร ดังนั้นการทำตัวให้ลึกลับจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง​ วิธีที่ควรใช้: แสดงด้านที่น่าสนใจแต่ไม่เปิดเผยทุกอย่าง ทำให้คนอื่นอยากรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวคุณและคิดว่าคุณมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุณเป็นคนที่มีอำนาจ​ ตัวอย่างในประวัติศาสตร์: Theodore Roosevelt ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ใช้ความลึกลับเป็นเครื่องมือในการทำให้ผู้คนสนใจในตัวเขา เขาจะไม่เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดแก่สาธารณชนและมักสร้างความตื่นเต้นในทุกการปรากฏตัวของเขา

    ​ สร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ทรงพลัง (Build Powerful Connections)​ ความหมาย: กฎนี้เน้นความสำคัญของการสร้างเครือข่ายที่มีอำนาจและการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่แค่เพียงการพึ่งพาความสามารถส่วนตัว แต่ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า ซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างโอกาสในการเติบโตและความสำเร็จได้

    • วิธีที่ควรใช้: การสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการให้คุณค่ากับคนอื่น สร้างความไว้วางใจและการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ เพื่อให้คนอื่นเห็นคุณค่าในตัวคุณและอยากร่วมงานกับคุณ

    • ตัวอย่างในประวัติศาสตร์: Benjamin Franklin เป็นตัวอย่างของคนที่ใช้เครือข่ายที่ทรงพลังในการสร้างความสำเร็จ เขารู้จักการสร้างมิตรภาพและความสัมพันธ์กับคนสำคัญในสังคม ซึ่งช่วยให้เขาได้กลายเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในสมัยของเขา

    [ช่วงที่ 3: ข้อควรระวังและการนำไปใช้]

    หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยบทเรียนที่สามารถนำไปใช้ได้จริง แต่มันก็มีข้อควรระวังเช่นกัน

    • อย่าใช้กฎเหล่านี้เพื่อทำลายผู้อื่น – กฎเหล่านี้สามารถใช้เพื่อสร้างอำนาจหรือเพื่อปกป้องตัวเองได้ แต่หากใช้ในทางที่ผิด อาจนำไปสู่ปัญหาหรือศัตรูที่ไม่จำเป็น

    • อย่าพยายามใช้ทุกกฎในคราวเดียว – ไม่ใช่ทุกกฎที่เหมาะกับทุกสถานการณ์ เลือกใช้กฎที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของคุณ

    อำนาจที่แท้จริง คือการเข้าใจว่าเมื่อไรควรใช้และเมื่อไรควรปล่อยวาง – บางครั้งการมีอำนาจหมายถึงการเลือกที่จะ “ไม่เล่นเกมแห่งอำนาจ” เลยก็ได้

  • ทอมมี่เล่าให้ฟัง วิธีการตั้งเป้าหมายย้อนหลัง และมันแตกต่างกับวิธีการตั้งเป้าหมายไปข้างหน้าอย่างไร มาฟังกันเลยนะครับ

  • วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องที่หลายคนอาจเคยเจอ “ทำไมถึงฝันว่าทะเลาะกับคน?”

    ใครเคยตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกงงๆ หรือไม่สบายใจเพราะฝันว่าไปทะเลาะกับเพื่อนสนิท หรือบางทีก็คนในครอบครัวบ้าง? และเคยรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงต่อจากนั้นหรือเปล่าครับ? วันนี้ทอมมี่จะเล่าให้ฟังว่า ความฝันและความรู้สึกนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกัน และเราจะมาแชร์วิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้ให้ชีวิตกลับมาสดใส

    [ช่วงที่ 1: ความฝันคืออะไร]

    ทอมมี่:

    ก่อนอื่น มาคุยกันก่อนครับว่า “ความฝันคืออะไร”

    ในทางวิทยาศาสตร์ ความฝันเกิดขึ้นในช่วง REM Sleep หรือ Rapid Eye Movement Sleep ซึ่งเป็นช่วงที่สมองของเราทำงานคล้ายกับตอนตื่น แต่ร่างกายอยู่ในภาวะหลับสนิท ความฝันจึงมักเป็นการสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง หรือสิ่งที่จิตใต้สำนึกของเรากำลังประมวลผล

    เมื่อคุณฝันว่าทะเลาะกับคน อาจไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ แต่มันอาจสะท้อนถึงบางอย่างในชีวิต เช่น ความเครียด ความกังวล หรือความขัดแย้งที่ยังไม่ได้แก้ไข

    [ช่วงที่ 2: ความฝันว่าทะเลาะกับคนเกี่ยวข้องกับการไม่อยากตื่นนอนหรือไม่?]

    ทอมมี่:

    คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ “ความฝันว่าทะเลาะกับคนและการไม่อยากตื่นนอนเกี่ยวข้องกันหรือไม่?” ทอมมี่บอกได้เลยครับว่ามันอาจเกี่ยวข้องกันในเชิงจิตวิทยา

    1. ความเครียดและอารมณ์ที่ถูกกดดัน

    • การฝันว่าทะเลาะกับคนอาจสะท้อนถึงความเครียดหรือความขัดแย้งที่ยังไม่ได้แก้ไขในชีวิตจริง

    • ในขณะเดียวกัน ความเครียดแบบนี้อาจทำให้คุณรู้สึกหมดพลังและไม่อยากลุกจากเตียงเพื่อเผชิญหน้ากับความจริง

    2. ความเหนื่อยล้าทางจิตใจ

    • ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยล้าหรือหมดพลังใจ ความฝันอาจทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตมีปัญหาหนักหน่วง ซึ่งส่งผลต่อการไม่อยากตื่นนอน

    3. ความขัดแย้งภายในตัวเอง

    • บางครั้งคนที่คุณทะเลาะด้วยในฝัน อาจไม่ได้หมายถึงคนคนนั้นจริงๆ แต่เป็นตัวแทนของความขัดแย้งที่คุณมีต่อตัวเอง เช่น ความไม่พอใจในตัวเอง หรือความรู้สึกผิด

    ดังนั้น แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่ทั้งความฝันและการไม่อยากตื่นนอนมักเป็นผลจากความเครียดหรืออารมณ์ที่กดดันในชีวิตจริงครับ

    [ช่วงที่ 3: วิธีจัดการกับความฝันและการตื่นนอนอย่างสดใส]

    ทอมมี่:

    ถ้าคุณฝันว่าทะเลาะกับคนบ่อยๆ หรือรู้สึกไม่อยากตื่นนอน ลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้ดูครับ

    1. วิธีจัดการกับความฝัน:

    • จดบันทึกความฝัน

    ลองเขียนสิ่งที่คุณจำได้เกี่ยวกับความฝันทุกเช้า คุณอาจค้นพบสาเหตุหรือรูปแบบของปัญหาที่จิตใต้สำนึกพยายามบอก

    • สำรวจอารมณ์ของตัวเอง

    ถามตัวเองว่าคุณกำลังมีความขัดแย้งหรือความกังวลอะไรในชีวิตจริงที่ยังไม่ได้แก้ไข

    • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

    หากความฝันเกิดขึ้นบ่อยและรบกวนชีวิตประจำวัน การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์อาจช่วยได้

    2. วิธีทำให้อยากตื่นตอนเช้าและตื่นมาอย่างสดใส:

    • ตั้งเป้าหมายที่น่าตื่นเต้น

    ลองตั้งกิจกรรมที่คุณชอบ เช่น การดื่มกาแฟแก้วโปรด หรืออ่านหนังสือที่คุณรัก

    • ปรับเวลานอนให้เหมาะสม

    พยายามนอนหลับให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมง และเข้านอนในเวลาเดิมทุกคืน

    • เปิดรับแสงแดดยามเช้า

    แสงแดดช่วยกระตุ้นฮอร์โมนเซโรโทนินในร่างกาย ทำให้คุณรู้สึกสดชื่นและตื่นตัว

    • ใช้เพลงหรือพอดแคสต์ช่วย

    ลองฟังเพลงหรือพอดแคสต์ที่สร้างแรงบันดาลใจตอนเช้า เช่น “ทอมมี่เล่าให้ฟัง” เพื่อเริ่มต้นวันใหม่

  • 🎧 ตอน: วิธีการเขียนเป้าหมายให้สำเร็จ

    คุณเคยตั้งเป้าหมายไว้แล้วสุดท้ายก็ลืมมันไปไหม?

    หรือเคยตั้งเป้าหมายไว้ แต่ทำไม่สำเร็จ?

    วันนี้เราจะมาคุยกันว่า วิธีที่ถูกต้องในการเขียนเป้าหมาย ต้องทำยังไง และทำไมมันถึงสำคัญ

    1. ทำไมต้องเขียนเป้าหมาย?

    💡 การเขียนเป้าหมายช่วยให้เรา โฟกัส และ มีทิศทางชัดเจน

    💡 งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Harvard พบว่า คนที่เขียนเป้าหมายมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ไม่ได้เขียนถึง 3 เท่า

    เป้าหมายที่อยู่ในหัวคือ “ความฝัน” แต่เป้าหมายที่เขียนลงไปคือ “แผนการ”

    2. ใช้หลัก SMART ในการตั้งเป้าหมาย

    SMART คือหลักการตั้งเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพ

    ✅ S – Specific (เฉพาะเจาะจง)

    อย่าตั้งเป้าหมายแบบ “ฉันอยากรวย”

    แต่ให้ตั้งว่า “ฉันต้องการมีเงินเก็บ 500,000 บาทภายในสิ้นปี”

    ✅ M – Measurable (วัดผลได้)

    คุณต้องวัดผลความก้าวหน้าได้ เช่น “ฉันจะอ่านหนังสือเดือนละ 2 เล่ม”

    ✅ A – Achievable (เป็นไปได้จริง)

    เป้าหมายต้องท้าทายแต่ไม่เกินจริง เช่น “ออกกำลังกาย 3 ครั้งต่อสัปดาห์” ดีกว่าตั้งว่า “ออกกำลังกายทุกวัน 3 ชั่วโมง” ซึ่งอาจทำได้ยาก

    ✅ R – Relevant (เกี่ยวข้องกับชีวิตคุณ)

    ถามตัวเองว่าเป้าหมายนี้สำคัญกับคุณไหม?

    ถ้าคุณอยากสุขภาพดี การตั้งเป้าหมาย “ลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัม” ก็มีความหมาย

    ✅ T – Time-bound (มีกรอบเวลา)

    กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น “ฉันจะออมเงิน 100,000 บาทภายใน 6 เดือน”

    3. เขียนเป้าหมายอย่างไรให้มีพลัง?

    📌 เขียนเป็นประโยคปัจจุบัน เช่น

    ✅ “ฉันเป็นคนที่แข็งแรงและสุขภาพดี” แทนที่จะเขียนว่า “ฉันอยากแข็งแรง”

    📌 ใช้คำที่สร้างแรงบันดาลใจ เช่น

    ✅ “ฉันมีอิสรภาพทางการเงิน” แทนที่จะบอกว่า “ฉันไม่อยากจน”

    📌 อ่านเป้าหมายทุกวัน

    ยิ่งคุณเห็นมันบ่อย สมองของคุณจะจดจำและพาคุณไปสู่เป้าหมายได้ง่ายขึ้น

    4. วิธีทำให้เป้าหมายเป็นจริง

    💡 เขียนแผนปฏิบัติการ (Action Plan)

    เช่น ถ้าคุณอยากเก็บเงิน 100,000 บาท ก็ต้องเขียนว่า

    ✔️ จะเก็บเดือนละเท่าไหร่

    ✔️ จะลดค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

    ✔️ จะหารายได้เสริมจากช่องทางไหน

    💡 แบ่งเป้าหมายเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ

    ถ้าคุณตั้งเป้าจะเขียนหนังสือ 1 เล่ม อย่าคิดถึง 300 หน้า

    แต่ให้เริ่มจาก เขียนวันละ 1 หน้า แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

    💡 สร้างนิสัยและวินัย

    เป้าหมายจะไม่มีวันสำเร็จ ถ้าคุณไม่ลงมือทำ ทุกวัน

    5. สรุป: เริ่มเขียนเป้าหมายของคุณวันนี้!

    ✅ ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน (SMART)

    ✅ เขียนมันออกมา

    ✅ อ่านมันทุกวัน

    ✅ สร้างแผนปฏิบัติการ และทำมันให้ได้ทุกวัน

    จำไว้ว่า… เป้าหมายที่ชัดเจน + แผนที่ดี + การลงมือทำสม่ำเสมอ = ความสำเร็จ

    🔥 วันนี้คุณเขียนเป้าหมายของตัวเองหรือยัง? 🔥

  • 10 สิ่งที่คุณควรทำตอนเช้า เพื่อวันใหม่ที่สดใส

    1. นอนให้เพียงพอ

    2. กด Snooze แล้วจะเพลีย จะไม่ Fresh

    3. ดื่มน้ำทันที จะดีต่อสุขภาพ

    4. เปืดรับแดด เพื่อให้กระแรี้กระเปร่า

    5. ขยับร่างกายเบาๆ เดินเล่น หมุนตัว

    6. ฝึกความรู้สึกขอบคุณ Gratitude

    7. ฝึกสมาธิ 2-5 นาที

    8. ทานอาหารเช้าด้วย สำคัญมากๆ

    9. อย่าจับโทรศัพท์ทันทีหลังตื่นนอน!!

    10. ตั้งเป้าหมายของวัน เพื่อความ Motivated

  • ทอมมี่มาเล่า.. สรุปเทรนด์ที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของผู้คนที่จะเกิดขึ้นในปี 2025..

    ​ ยกเลิก work from home: บ. หันมา outsource​ รักษ์โลกมากขึ้น โดยเฉพาะ Gen Z ​ Digital Detox ลาก่อย โซเชี่ยว ​ AI กลายเป็นคนคุย ซะงั้น ​ Health Tech Boom เพื่อสุขภาพระยะยาว ​ Customization ทุกสิ่ง กลุ่มะล็กๆเริ่มมีพลัง​ ตรวจสุขภาพล่วงหน้า ​ ผู้ชายเปี๋ยนไป ลุงป้า Active มากขึ้น ​ โลกเสมือนบรรจบโลกจริง ​ Hikikomori 2.0 เก็บตัวอยู่กับ AI ​ คิด Global แต่ Act Local

    References:

    Paperless the Admin House Facebook

    https://www.facebook.com/share/18QboN2LmA/?mibextid=wwXIfr

  • มาฟังทอมมี่เล่าถึง 6 บทเรียนที่ได้จากปีที่แล้วนะครับ

    ​ ความล้มเหลวคือข้อมูลไม่ใช่จุดจบ​ ค่อยค่อยทำทีละนิด ​ มองปัญหาของเราให้เป็นเรื่องของคนอื่น ​ ใส่ใจกับคนรอบข้าง​ ทำความเข้าใจ แล้วจะหายกลัว​จดบันทึก แล้วจะดีขึ้น
  • เส้นทางสู่ความรวย 3 แบบ

    DeMarco แบ่งเส้นทางการเงินของคนออกเป็น 3 แบบ

    1. Sidewalk (ทางเท้า) – คนที่ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่มีแผนการเงินที่แน่นอน ใช้จ่ายมากกว่ารายได้

    2. Slowlane (เลนช้า) – คนที่เชื่อในคำสอนแบบดั้งเดิม “เรียนให้เก่ง ทำงานหนัก เก็บออม ลงทุนระยะยาว แล้วเกษียณอย่างสบาย”

    3. Fastlane (เลนด่วน) – เส้นทางที่ DeMarco แนะนำให้เราเดิน นั่นคือการสร้างธุรกิจที่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้แบบก้าวกระโดด

    เขาบอกว่า Slowlane ไม่ได้ผิด แต่มันช้าเกินไป และคนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้ใช้เงินก้อนโตตอนที่ยังมีแรงใช้ชีวิต

    ถ้าคุณอยากเข้าสู่ Fastlane คุณต้องเข้าใจกฎ 5 ข้อที่ DeMarco บอกไว้

    1. Need (ความต้องการ) – ธุรกิจของคุณต้องแก้ปัญหาหรือเติมเต็มความต้องการของตลาด

    2. Entry (ข้อจำกัดในการเข้า) – ถ้าธุรกิจเริ่มต้นได้ง่ายเกินไป คู่แข่งจะเยอะมาก ธุรกิจที่ดีต้องมีอุปสรรคบางอย่างที่กันคนอื่นออก

    3. Control (การควบคุม) – อย่าพึ่งพาคนอื่น เช่น หวังพึ่งงานประจำ หรือลงทุนในตลาดหุ้นที่คุณควบคุมไม่ได้

    4. Scale (ขนาด) – ธุรกิจที่ดีต้องสามารถขยายได้ เช่น ขายของออนไลน์ได้ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในพื้นที่เล็กๆ

    5. Time (เวลา) – รายได้ต้องไม่ผูกกับเวลาของคุณ ถ้าหยุดทำงานแล้วไม่มีเงินเข้ามา แปลว่าคุณยังไม่อยู่ใน fastlane

    วิธีเริ่มต้นเดินบน Fastlane

    DeMarco แนะนำว่า ถ้าคุณอยากเข้าสู่ Fastlane ให้เริ่มต้นด้วย 3 ขั้นตอนนี้

    1. เปลี่ยน Mindset – หยุดคิดแบบ Slowlane และเริ่มมองหาโอกาสที่ช่วยให้คุณสร้างทรัพย์สิน

    2. สร้างธุรกิจที่มี Leverage – ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจซอฟต์แวร์ อีคอมเมิร์ซ หรือบริการที่ขยายตัวได้

    3. ลงมือทำ – อย่ามัวแต่อ่านหรือเรียนรู้ ต้องลงมือสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมาจริงๆ

    สรุปแล้ว The Millionaire Fastlane ไม่ได้บอกว่า “รวยเร็ว” แต่บอกว่า ถ้าคุณสร้างธุรกิจที่มีระบบที่ดี คุณสามารถรวยได้เร็วขึ้น มากกว่าการทำงานแบบ Slowlane

  • วันนี้ผมอยากมาแชร์หนังสือที่ให้มุมมองใหม่เกี่ยวกับ “ความสุข” และ “การมีชีวิตอยู่” นั่นก็คือ The Joy of Living เขียนโดย ยองเก มิงยูร์ ริมโปเช Yongey Mingyur Rinpoche พระภิกษุชาวทิเบตที่นำหลักธรรมและวิทยาศาสตร์มาผสมผสานกันอย่างลงตัว

    🔹 ความสุขเกิดจากภายใน ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องไปค้นหา

    📌 หลายคนคิดว่าความสุขมาจาก เงิน งาน ความสำเร็จ หรือการมีทุกอย่างที่ต้องการ

    แต่ Mingyur Rinpoche อธิบายว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ภายนอก แต่อยู่ที่ใจของเราเอง

    ✅ ลองคิดดูนะครับ:

    • เคยไหมที่เราได้สิ่งที่ต้องการแล้ว แต่กลับยังไม่พอใจ?

    • หรือเคยเจอคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่กลับมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ?

    🎯 คำตอบคือ ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรามี แต่มันขึ้นอยู่กับมุมมองและจิตใจของเราเอง

    [เสียงดนตรีซอฟต์เบาๆ]

    🔹 สมองของเราสามารถฝึกให้มีความสุขได้

    หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือ สมองของเราสามารถเปลี่ยนแปลงและฝึกให้เป็นสุขได้ หรือที่เรียกว่า Neuroplasticity

    📌 สมองของเราสามารถสร้างเส้นทางใหม่ๆ ในการคิดและรับรู้ได้

    ถ้าเรา ฝึกคิดบวก ฝึกมองโลกในแง่ดี สมองของเราจะค่อยๆ ปรับตัว และทำให้เรามีความสุขมากขึ้น

    ✅ สิ่งที่คุณทำได้:

    • ฝึกขอบคุณทุกวัน (Gratitude)

    • หมั่นสังเกตความคิดลบ และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความคิดบวก

    • ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ฝึกสมาธิ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน

    🔹 การฝึกสมาธิเพื่อความสุขที่แท้จริง

    ในหนังสือ The Joy of Living Mingyur Rinpoche เน้นเรื่อง สมาธิ (Meditation) ว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสร้างความสุขจากภายใน

    📌 หากคุณไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อนเลย เริ่มจากการ ฝึกรับรู้ถึงความซาบซึ้งใจและความสำนึกคุณ (Appreciation & Gratitude)

    ✅ ลองเขียนสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณเกี่ยวกับชีวิตรอบตัวคุณและโลกนี้ วันละ 5 อย่าง

    2 วิธีในการปฏิบัติสมาธิ

    1️⃣ สมาธิแบบเป็นทางการ (Formal Meditation)

    • นั่งลงบนเบาะ หลังตรง

    • ปิดมือถือ ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ดูทีวี

    • ใช้เวลา 5 นาที - 1 ชั่วโมง (แล้วแต่ความสะดวก)

    • แต่อย่าหักโหม! ปฏิบัติทีละน้อยแต่ต่อเนื่อง ดีกว่าฝืนทำเยอะแล้วเลิกไป

    • ใช้เวลา 1 เดือนสร้างนิสัย – สัปดาห์แรกจะง่าย สัปดาห์สองเริ่มมีข้ออ้าง ถ้าผ่านไป 4 สัปดาห์ การทำสมาธิจะกลายเป็นเรื่องปกติของคุณ

    2️⃣ สมาธิแบบไม่เป็นทางการ (Informal Meditation)

    • คุณสามารถทำสมาธิได้ทุกที่ ทุกเวลา

    • หายใจลึกๆ 2-3 ครั้งในขณะที่ทำงาน

    • ฝึกสังเกตลมหายใจในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะเดินทาง ขณะกินข้าว หรือแม้แต่ตอนพูดคุยกับคนอื่น

    • เทคนิค: ทำสั้นๆ แต่บ่อยๆ เหมือนหยดน้ำลงภาชนะเล็กๆ จนวันหนึ่งน้ำเต็มเอง

    🔹 เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังปฏิบัติสมาธิอย่างถูกต้อง?

    📌 สัญญาณที่บอกว่าคุณฝึกสมาธิได้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าคุณสามารถนั่งนิ่งได้นานแค่ไหน แต่ดูจากผลลัพธ์ในชีวิตของคุณ

    ✅ ถ้าคุณปฏิบัติสมาธิได้ถูกต้อง คุณจะสังเกตเห็นว่า:

    • คุณใจดีขึ้น เมตตากรุณามากขึ้น

    • อารมณ์ด้านลบลดลง

    • ความเครียดและความกังวลลดลง

    • มีสันติสุขมากขึ้น

    • มองโลกในแง่ดีขึ้น และรู้สึกเป็นอิสระจากความทุกข์

    ผู้ฟังเคยสังเกตมั้ยครับ บางคน ปฏิบัติสมาธิ แต่กลับมีอารมณ์แก่วงขึ้นลง แถมยังหลงๆลืมๆ เป็นเพราะ การทำสมาธิแบบสมถะ (Samatha) มีเป้าหมายเพื่อทำให้จิตสงบและตั้งมั่น แต่ในบางกรณี อาจทำให้เกิดอาการหลงลืมหรืออารมณ์แกว่งขึ้นลงได้ ซึ่งอาจมีสาเหตุดังนี้

    1. สมาธิที่แน่นเกินไป

    หากจดจ่อกับสมาธิมากเกินไปจนเกิด “อุปกิเลสของสมาธิ” เช่น ความฟุ้งซ่านหรือความมึนงง อาจทำให้เกิดอาการหลงลืมหรือรู้สึกเหมือนจิตหลุดลอย

    2. สมาธิไม่สมดุลกับสติ

    สมาธิที่ดีควรมีสติประกอบ หากมีสมาธิแต่ขาดสติ อาจทำให้จิตเข้าสู่ภวังค์หรือมึนงง ซึ่งอาจทำให้หลงลืมได้

    3. การกดข่มอารมณ์แทนที่จะรู้เท่าทัน

    หากใช้สมาธิเพื่อกดข่มอารมณ์แทนที่จะรู้เท่าทัน อารมณ์ที่ถูกกดไว้จะสะสมและอาจระเบิดออกมาในรูปแบบอารมณ์ที่แกว่งขึ้นลง

    4. การปรับตัวของจิต

    บางครั้ง การทำสมาธิอาจทำให้จิตเกิดการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้อารมณ์ไม่คงที่ในช่วงแรก ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องใช้เวลาในการปรับสมดุล

    แนวทางแก้ไข

    • เพิ่มการเจริญสติ (Vipassana) ควบคู่ไปกับสมาธิ

    การเจริญสติ (Vipassana) คือการฝึกให้จิตรู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยไม่ปรุงแต่งหรือหลงไปตามอารมณ์ วิธีเพิ่มการเจริญสติสามารถทำได้ดังนี้

    1. ฝึกสติในชีวิตประจำวัน

    สติไม่จำเป็นต้องฝึกเฉพาะเวลานั่งสมาธิ แต่สามารถนำมาใช้ในทุกกิจกรรม เช่น

    • เดินอย่างมีสติ รู้ตัวว่ากำลังก้าวขา รู้สัมผัสของฝ่าเท้ากับพื้น

    • กินอย่างมีสติ รับรู้รสชาติและการเคี้ยวอาหาร

    • ทำงานอย่างมีสติ รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร อยู่กับงานตรงหน้า ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน

    • ล้างจาน ซักผ้า อาบน้ำอย่างมีสติ รู้สึกถึงน้ำ สัมผัส ฟองสบู่ และการเคลื่อนไหว

    2. สังเกตความคิดและอารมณ์ โดยไม่เข้าไปยึดติด

    • ถ้ารู้สึกโกรธ ให้รู้ว่า “นี่คือโกรธ”

    • ถ้าฟุ้งซ่าน ให้รู้ว่า “นี่คือฟุ้งซ่าน”

    • ไม่ต้องพยายามขับไล่ความคิดหรืออารมณ์ แค่รับรู้ว่ามันเกิดขึ้น แล้วปล่อยให้มันผ่านไปเองใช้การพิจารณากายและใจ

    • พิจารณากาย รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น การเดิน การนั่ง การขยับ

    • พิจารณาใจ รู้ว่าจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง

    • ไม่กดข่มอารมณ์ แต่ให้สังเกตอารมณ์อย่างเป็นกลาง

    • ปรับสมดุลการฝึก หากรู้สึกมึนงงหรือจิตตก ให้หยุดพัก หรือเปลี่ยนไปทำสมาธิแบบลมหายใจสั้นๆ

    • ฝึกทำสมาธิแบบผ่อนคลาย ไม่บังคับตัวเองจนเกินไป

    📌 สรุปหนังสือ The Joy of Living

    📍 ความสุขเกิดจากภายใน ไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปค้นหา

    📍 สมองสามารถฝึกให้มีความสุขได้ผ่านมุมมองเชิงบวก

    📍 การปฏิบัติสมาธิเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราพบความสุขที่แท้จริง

  • “สำเร็จนอกกรอบ” โดย คุณดิว - วีรวัฒน์ วลัยเสถียร หรือที่หลายคนรู้จักกันในนาม “เศรษฐีหมื่นล้าน” หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยแนวคิดและบทเรียนที่ช่วยให้เราคิดนอกกรอบ และสร้างความสำเร็จในแบบของตัวเอง

    ถ้าคุณกำลังมองหาแนวทางใหม่ๆ ในการเติบโต การจัดการเงิน และการสร้างความมั่งคั่ง หนังสือเล่มนี้มีคำตอบครับ

    🔹 จุดเริ่มต้นของเศรษฐีหมื่นล้าน

    คุณดิวไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เขาเริ่มต้นจากศูนย์ และสิ่งที่ผลักดันให้เขาประสบความสำเร็จคือ การไม่ยึดติดกับวิธีคิดเดิมๆ และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

    เขาเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่วัยรุ่น ลองผิดลองถูกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เจออุปสรรค เขาจะปรับตัวและหาวิธีใหม่ๆ เสมอ

    🔹 3 หลักคิดสำคัญของการสำเร็จนอกกรอบ

    1️⃣ เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิต

    ​ คุณดิวเชื่อว่า ความคิด เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ถ้าเราคิดว่าเราทำไม่ได้ เราก็จะไม่มีวันทำได้​ คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ฉลาดกว่าคนอื่นเสมอไป แต่พวกเขา คิดและมองโลกในมุมที่ต่างออกไป

    ✅ สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    ​ ฝึกตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า “เรากำลังติดอยู่ในกรอบเดิมๆ หรือเปล่า?”​ อย่ากลัวที่จะลองแนวทางใหม่ เพราะการเปลี่ยนแปลงคือกุญแจสู่ความก้าวหน้า

    2️⃣ ความล้มเหลวคือบทเรียน ไม่ใช่จุดจบ

    ​ คุณดิวล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเขาใช้มันเป็นบทเรียน​ เขามองว่า ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ ตราบใดที่เราเรียนรู้จากมันและเดินหน้าต่อ

    ✅ สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    ​ ถ้าล้ม ให้ล้มเร็ว แล้วลุกให้เร็วกว่า​ ทุกปัญหามีทางออก ถ้าเรามองมันเป็นโอกาสในการเรียนรู้

    3️⃣ ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ และจัดการความเสี่ยงให้ดี

    ​ คุณดิวไม่เคยลงทุนในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจดีพอ​ เขาให้ความสำคัญกับ การศึกษาหาข้อมูล และการบริหารความเสี่ยงเสมอ

    ✅ สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    ​ ก่อนลงทุนหรือทำธุรกิจ ให้ศึกษาให้ดี อย่าลงทุนตามกระแส​ วางแผนรับมือความเสี่ยงเสมอ เพราะโลกธุรกิจไม่มีอะไรแน่นอน

    🔹 คุณดิวกับแนวคิดเรื่องการลงทุน

    คุณดิวได้บอกไว้ว่า สิ่งสำคัญคือการลงทุนกับความรู้ และลงทุนในทรัพย์สินที่เพิ่มมูลค่าไปพร้อมกัน

    📌 เพราะอะไร?

    ​ ถ้าเราลงทุนกับ ความรู้ เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ลงมือสะสมทรัพย์สิน มันก็ไม่มีประโยชน์​ แต่ถ้าเราลงทุนกับ ทรัพย์สิน โดยที่ ไม่มีความรู้ เราก็อาจจะ โดนหลอก ไม่ต่างอะไรกับการเล่นพนัน

    💡 ตัวอย่างชัดๆ ก็คือการลงทุนในคริปโต

    ​ คุณดิวเองก็ ไม่ลงทุนในคริปโต เพราะเขา ไม่เชี่ยวชาญด้านนี้​ แต่บางคนที่เข้าใจตลาดดี ก็สามารถทำเงินจากมันได้

    ✅ สรุปง่ายๆ คือ

    ​ คุณต้อง ลงทุนไปพร้อมกับหาความรู้ไป​ เรียนรู้และปรับตัวให้ทันตลาด ทำเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้

    🔹 การบริหารเงินแบบเศรษฐีหมื่นล้าน

    หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจในหนังสือคือ “วิธีคิดเรื่องเงิน”

    คุณดิวไม่ได้แค่หาเงินเก่ง แต่เขายัง บริหารเงินเก่ง อีกด้วย

    💡 3 เคล็ดลับในการบริหารเงิน:

    🔹 1. ใช้เงินให้เป็นนาย ไม่ใช่เป็นทาสเงิน

    ​ คนส่วนใหญ่มักทำงานแลกเงิน แล้วใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่ทำให้มันงอกเงย​ เศรษฐีหมื่นล้านเลือก นำเงินไปลงทุน เพื่อให้เงินทำงานแทนตัวเอง

    🔹 2. สร้างหลายกระแสรายได้

    • คุณดิวไม่ได้พึ่งรายได้จากทางเดียว เขามีทั้ง ธุรกิจ หุ้น และการลงทุน

    • หลายกระแสรายได้ช่วยให้เขามี ความมั่นคงทางการเงิน

    🔹 3. รู้จักเก็บ รู้จักลงทุน

    • คนรวยไม่ได้รวยเพราะหาเงินเก่งอย่างเดียว แต่เพราะ เขารู้จักเก็บ และรู้จักลงทุนให้ถูกที่

    ✅ สิ่งที่เราเรียนรู้ได้:

    • ฝึกนิสัยการออม และลงทุนในสิ่งที่เราศึกษามาอย่างดี

    • อย่าพึ่งพารายได้จากทางเดียว ลองหาวิธีเพิ่มกระแสเงินสด

    🔹 บทสรุป: สำเร็จนอกกรอบคืออะไร?

    “สำเร็จนอกกรอบ” ไม่ใช่แค่การคิดนอกกรอบ แต่คือการกล้าลงมือทำ เรียนรู้จากความผิดพลาด และไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลง

    📌 3 สิ่งที่สำคัญที่สุดจากหนังสือเล่มนี้:

    1️⃣ เปลี่ยนวิธีคิด แล้วชีวิตจะเปลี่ยนตาม

    2️⃣ ล้มให้เร็ว ลุกให้เร็ว แล้วเดินต่อไป

    3️⃣ บริหารเงินอย่างชาญฉลาด และลงทุนในสิ่งที่เรารู้จริง

  • วันนี้เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับหนังสือ “Don’t Feed the Monkey Mind” โดย Jennifer Shannon หนังสือเล่มนี้พูดถึง ความวิตกกังวล (Anxiety) และสอนวิธีจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    Jennifer อธิบายว่าจิตใจของเราทำงานเหมือนกับ ลิงจอมซน ที่คอยกระโดดไปมา ระหว่าง ความกังวลในอนาคต และ ความเสียใจในอดีต และยิ่งเราไปสนใจความคิดวิตกกังวลมากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับการให้อาหารลิง ทำให้มันซนหนักกว่าเดิม!

    แล้วเราจะหยุด “ให้อาหารลิง” ได้ยังไง? หนึ่งในวิธีสำคัญคือ การสังเกตและท้าทาย 3 ความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้เราวิตกกังวล

    📌 3 ความเชื่อที่ทำให้เราวิตกกังวล

    1️⃣ ไม่สามารถทนความไม่แน่นอนได้ (Intolerance of Uncertainty)

    เรามักรู้สึกไม่สบายใจถ้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราคิดว่า ถ้าเราควบคุมอนาคตไม่ได้ บางสิ่งที่แย่อาจเกิดขึ้น และเราจะรับมือไม่ได้

    ✅ วิธีจัดการกับมัน:

    ​ ยอมรับว่าความไม่แน่นอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การพยายามควบคุมทุกอย่างจะยิ่งทำให้เครียด​ ฝึกคิดแบบ “ถ้ามันออกมาดีกว่าที่คิดล่ะ?” แทนที่จะเอาแต่คิดถึงเรื่องแย่ๆ

    2️⃣ ความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism)

    คนที่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมักเชื่อว่า การทำผิดพลาดเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ จึงกดดันตัวเองให้ทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งสร้างความเครียดและความกลัวความล้มเหลว

    ✅ วิธีจัดการกับมัน:

    ​ เปลี่ยนจาก “ต้องเป๊ะ” เป็น “ดีพอแล้ว”​ จำไว้ว่า การพัฒนา สำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบ ความผิดพลาดคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ (Focus on the Process)

    3️⃣ รับผิดชอบเกินไป (Over-Responsibility)

    นี่คือภาวะที่เราคิดว่า ทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของเรา แม้แต่เรื่องที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ความรู้สึกของคนอื่น หรือผลลัพธ์ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราทั้งหมด

    ✅ วิธีจัดการกับมัน:

    ​ ถามตัวเองว่า “นี่เป็นเรื่องของฉันจริงๆ หรือเปล่า?”​ ตั้งขอบเขตที่ดีต่อใจ ช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้

    📌 วิธีหยุด “ให้อาหารลิงในหัว”

    1️⃣ ฝึกสติเพื่อลดความคิดฟุ้งซ่าน

    สติ (Mindfulness) เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ดีที่สุดในการจัดการกับความวิตกกังวล เพราะช่วยให้เรากลับมาอยู่กับ ปัจจุบัน แทนที่จะปล่อยให้ความคิดพาเราไปไกล

    ✅ วิธีฝึกสติ:

    ​ หยุดและหายใจลึกๆ เมื่อความวิตกกังวลเกิดขึ้น ให้หยุดสักครู่แล้วหายใจเข้าออกช้าๆ​ สังเกตรอบตัว ลองตั้งใจฟังเสียงรอบตัว หรือสัมผัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพื่อดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน​ ตั้งชื่อให้ความคิด ถ้าความคิดวิตกกังวลโผล่ขึ้นมา ลองพูดกับตัวเองว่า “นั่นแค่เจ้าลิงจอมซนในหัวฉันเอง” วิธีนี้ช่วยให้เรามองความคิดเป็นแค่ความคิด ไม่ใช่ความจริง

    2️⃣ ท้าทายความคิดวิตกกังวล

    เวลาที่เรารู้สึกกังวล ให้ถามตัวเองว่า:

    ​ สิ่งที่ฉันคิดมันจริง 100% ไหม?”​ ถ้าเรื่องแย่ที่สุดเกิดขึ้นจริง ฉันจะรับมือได้ยังไง?”

    บ่อยครั้งเรามัก คิดไปเอง ว่าสิ่งต่างๆ จะแย่กว่าความเป็นจริง

    3️⃣ ลงมือทำทีละเล็ก ทีละน้อย

    หลายคนพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้กังวล แต่นั่นยิ่งทำให้ ความกลัวแข็งแกร่งขึ้น ทางออกที่ดีคือ ค่อยๆ เผชิญกับมันในขนาดที่พอรับไหว

    ✅ วิธีทำ:

    🔹 เริ่มจากก้าวเล็กๆ (Micro-Steps)

    แทนที่จะพยายามเผชิญหน้ากับความกลัวครั้งใหญ่ ให้เริ่มจากจุดที่เล็กที่สุด

    ​ ตัวอย่าง: ถ้าคุณกลัวการเข้าสังคม ลองเริ่มจาก สบตาและยิ้มให้คนรอบตัว ก่อนค่อยๆ เริ่มบทสนทนา

    🔹 ใช้กฎ 10%

    ถ้าสิ่งที่กลัวดูหนักเกินไป ลอง ผลักตัวเองออกจากคอมฟอร์ตโซนแค่ 10%

    ​ เช่น ถ้ากลัวพูดในที่ประชุม ลอง เริ่มจากการพูดแค่ประโยคสั้นๆ ก่อน

    🔹 เก็บแต้มความมั่นใจ (Confidence Bank)

    ทุกครั้งที่คุณเผชิญกับความกลัว ให้คิดว่าคุณกำลังสะสมคะแนนความมั่นใจ

    • ตัวอย่าง: ถ้ากลัวพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ลองเริ่มจาก อัดเสียงตัวเองพูดเล่นๆ แล้วค่อยฝึกพูดต่อหน้าคนหนึ่งคน ก่อนจะขยายไปสู่กลุ่มใหญ่ขึ้น

    🔹 ฝึกสติเพื่อลดความคิดลบ

    ก่อนลงมือทำอะไร ความกังวลอาจทำให้คิดลบไปก่อน ลอง หยุดหายใจลึกๆ 3 ครั้ง แล้วพูดกับตัวเองว่า

    “นี่แค่ลิงในหัวของฉัน… แต่ฉันรับมือกับมันได้!”

    🔹 ฉลองความก้าวหน้า ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ

    ทุกครั้งที่คุณกล้าลงมือทำ แม้เพียงเล็กน้อย ให้ตัวเองได้รับคำชม เพราะเป้าหมายไม่ใช่การเอาชนะความกลัวทั้งหมด แต่คือ การพิสูจน์ว่าคุณทำได้ แม้จะกลัวก็ตาม

    📌 บทสรุปสุดท้าย

    “ลิงในหัวจะอยู่กับเราตลอดไป แต่เราไม่จำเป็นต้องให้อาหารมัน ยิ่งเราเพิกเฉยและโฟกัสกับปัจจุบันมากขึ้น ลิงก็จะซนน้อยลงเอง”

    ความวิตกกังวลไม่ได้หายไปในวันเดียว แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ โดยการสังเกต ท้าทาย และลงมือทำทีละนิด

  • วันนี้เราจะมาพูดถึงหนังสือ “How to Be Sick Mindfully: 21 Actionable Tools” เขียนโดย ผศ.ดร.พร วิรุฬห์รักษ์

    หลายคนอาจมองว่าความเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่น่ากลัว หรือเป็นอุปสรรคในชีวิต แต่ Dr. พร วิรุฬห์รักษ์ สอนว่า ความทุกข์จากความเจ็บป่วยไม่ได้มาจากอาการป่วยเพียงอย่างเดียว แต่มาจาก “ความคิดและอารมณ์” ของเราด้วย

    ถ้าเราป่วยแล้วมัวแต่กังวล กลัวอนาคต หรือเสียใจกับอดีต นั่นจะยิ่งทำให้เราทุกข์มากขึ้น หนังสือเล่มนี้จึงให้ 21 เครื่องมือเชิงปฏิบัติ ที่ช่วยให้เรารับมือกับโรคเรื้อรังได้ดีขึ้น

    📌 4 เครื่องมือสำคัญที่นำไปใช้ได้ทันที

    1️⃣ เปลี่ยนมุมมองต่อความเจ็บป่วย

    แทนที่จะมองว่าความเจ็บป่วยเป็น “ศัตรู” ลองเปลี่ยนเป็น “ครู” ที่มาสอนให้เรารู้จักดูแลตัวเอง ฝึกความอดทน และให้คุณค่ากับทุกช่วงเวลาของชีวิต

    ✅ วิธีฝึก: ลองเขียน “สิ่งที่โรคนี้สอนฉัน” เช่น ทำให้ฉันใส่ใจสุขภาพมากขึ้น, ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของเวลามากขึ้น

    2️⃣ ฝึกสติและการยอมรับ

    Dr. พร แนะนำว่า เมื่อเราต่อต้าน เราจะทุกข์มากขึ้น แต่ถ้าเราฝึกยอมรับอย่างมีสติ มันจะช่วยให้เราสงบลง

    ✅ วิธีฝึก: ใช้เทคนิค “Accept the reality” คืออยู่กับปัจจุบัน เช่น ถ้ารู้สึกปวด ลองสังเกตความรู้สึกโดยไม่ตัดสิน หรือใช้ลมหายใจเป็นจุดโฟกัส

    3️⃣ ดูแลใจด้วยการสร้างความสุขเล็กๆ

    ถึงแม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์ แต่เรายังสามารถหาความสุขจากสิ่งเล็กๆ รอบตัวได้

    ✅ วิธีฝึก: สร้าง “ช่วงเวลาความสุข” ทุกวัน เช่น ฟังเพลงที่ชอบ อ่านหนังสือ หรือใช้เวลากับคนที่รัก

    4️⃣ ฝึกการสื่อสารเชิงบวกกับตัวเอง

    คำพูดที่เราบอกตัวเองมีพลังมาก ถ้าเราบอกตัวเองว่า “ฉันแย่มาก” หรือ “ฉันจะไม่ดีขึ้น” มันจะยิ่งทำให้เราเครียด

    ✅ วิธีฝึก: ใช้ Positive Affirmations เช่น

    💬 “วันนี้ฉันทำดีที่สุดแล้ว”

    💬 “ฉันเข้มแข็งพอที่จะผ่านวันนี้ไปได้”

    ข้อคิดจากหนังสือ 💡

    “แม้ร่างกายจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เรายังสามารถมีชีวิตที่สงบและเติมเต็มได้”

    หากคุณหรือคนที่คุณรักกำลังเผชิญกับความเจ็บป่วย ลองนำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ แล้วคุณอาจค้นพบว่า ความสงบและความสุขยังอยู่ใกล้กว่าที่คิด

    สำหรับผมแล้วหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับผู้ป่วยเท่านั้นนะครับ แต่ยังเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเสริมสร้างกำลังใจด้วยเช่นกัน สำหรับใครที่กำลังเดินทางผ่านความยากของชีวิต หรือว่าผ่านมันมาแล้วแต่ยังไม่สามารถอยู่กับมันได้ หรือต้องการเสริมสร้างกำลังใจ หนังสือเล่มนี้อาจะช่วยท่านได้ครับ

  • Dr. Julie Smith เป็นนักจิตวิทยาที่ใช้ประสบการณ์ของเธอมาแบ่งปันเคล็ดลับดูแลใจ หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า สุขภาพจิตก็สำคัญเหมือนสุขภาพกาย และมีเทคนิคหลายอย่างที่ช่วยให้เรารับมือกับอารมณ์และความคิดของตัวเองได้ดีขึ้น

    📌 เทคนิคสำคัญที่คุณต้องรู้:

    1️⃣ ความคิดไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงเสมอไป – บางครั้งสมองของเราสร้างเรื่องราวที่ไม่เป็นจริง เช่น “ฉันไม่ดีพอ” เราต้องรู้จักตั้งคำถามกับความคิดเหล่านั้น

    2️⃣ อารมณ์เป็นเหมือนอากาศ – บางวันแจ่มใส บางวันมีพายุ แต่ไม่มีอะไรอยู่ถาวร อารมณ์ก็เช่นกัน เรียนรู้ที่จะเฝ้าดูมันโดยไม่ตัดสิน

    3️⃣ พฤติกรรมเปลี่ยนอารมณ์ได้ – แค่ลุกขึ้นเดิน เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม หรือทำอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ ก็ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้

    4️⃣ ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต – เราไม่จำเป็นต้อง “กำจัด” ความทุกข์เสมอไป แต่ต้องรู้วิธีอยู่กับมันอย่างเข้าใจ

    📖 ข้อคิดจากหนังสือ:

    “อย่ารอให้รู้สึกพร้อมก่อนถึงจะเริ่มต้น บางครั้งการลงมือทำก่อนจะช่วยให้ความพร้อมเกิดขึ้นเอง”

    แล้วคุณล่ะ เคยมีช่วงเวลาที่อารมณ์พาเราหลงไปในความคิดด้านลบหรือเปล่า? ถ้าใช่ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ!

  • พอพูดถึงการ “Manifest” หลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่การอธิษฐานหรือหวังให้สิ่งที่ต้องการเกิดขึ้น แต่ Roxie Nafousi บอกว่า มันมากกว่านั้น เพราะการ Manifest คือการปรับความคิดและการกระทำให้ตรงกับชีวิตที่เราอยากได้จริงๆ

    Roxie สรุปออกมาเป็น 7 ขั้นตอน ได้แก่:

    ชัดเจนกับเป้าหมายของตัวเอง – รู้ว่าต้องการอะไร

    กำจัดความกลัวและความสงสัย – สิ่งเหล่านี้ขัดขวางพลังของเรา

    ทำให้พฤติกรรมสอดคล้องกับเป้าหมาย – คิดแล้วต้องลงมือทำ

    รับมือกับอุปสรรคจากจักรวาล – ปัญหาคือบททดสอบ

    ฝึกขอบคุณสิ่งที่มี – เมื่อโฟกัสที่ความอุดมสมบูรณ์ เราจะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามา

    เปลี่ยนความอิจฉาให้เป็นแรงบันดาลใจ – ดูคนที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่าง

    เชื่อมั่นในกระบวนการ – ทุกอย่างกำลังทำงานเพื่อเรา

    ข้อคิดสำคัญจากหนังสือคือ “คุณไม่ได้ดึงดูดสิ่งที่คุณต้องการ แต่คุณดึงดูดสิ่งที่คุณเชื่อว่าคุณคู่ควร” ถ้าคุณลึกๆ ยังรู้สึกว่าไม่สมควรได้รับความสำเร็จ โอกาสดีๆ ก็จะไม่มาหาคุณ

    แล้วคุณล่ะ มีความเชื่อไหนที่ควรปล่อยวางเพื่อดึงดูดชีวิตที่ดีกว่า?

    * ขออภัยเกิน 90 วิครีบ ยังจับเวลาไม่ค่อยถูก 🥹