Bölümler
-
ถ้าเราเดินตามเส้นทางนี้ นี่คือทางที่พระพุทธเจ้าสอนเรา แต่เราอย่าเดินเพื่อหาอะไรเข้าตัว เดินไปด้วยความเคารพ ศรัทธาแน่นแฟ้นในพระพุทธเจ้า เรารักษาศีลเป็นเครื่องบูชาพระพุทธเจ้า ทำสมาธิให้จิตสงบ ไม่วุ่นวายอยู่กับกามคุณอารมณ์ในโลกก็เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ฝึกจิตให้ตั้งมั่นก็เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า แยกรูปแยกนาม แยกธาตุแยกขันธ์ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ถ้าเจริญปัญญาเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย กระทั่งตัวจิตผู้รู้ ถือว่าเราปฏิบัติบูชาพระพุทธเจ้า การปฏิบัติบูชานั้น มีอานิสงส์ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าอามิสบูชา การบูชามี 2 อย่าง อามิสบูชา อย่างเราหาดอกไม้ธูปเทียน มาไหว้พระ ถามว่าดีไหม ดี ใส่บาตรให้พระฉันเป็นอามิสบูชา หรือปฏิบัติบูชา ก็แล้วแต่ปัญญาของเรา ถ้าปัญญาเราไม่มาก มันก็เป็นแค่อามิสบูชา เอาของมาถวายพระ ถ้าเรามีปัญญามาก เราก็เห็นว่าที่เราทำนี้ เพื่อลดละกิเลสตัวเอง นี่เราปฏิบัติบูชา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 22 พฤภษาคม 2567
-
หลักสูตรในการฝึกสติก็คือสติปัฏฐานนั่นเอง ฉะนั้นสติปัฏฐานเลยเป็นเรื่องใหญ่ ตราบใดที่ยังมีผู้เจริญสติปัฏฐานอยู่ แล้วต้องทำให้ถูกด้วย ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานอยู่ การที่จะบรรลุมรรคผล ไม่เหลือวิสัย มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าเราทิ้งเรื่องของสติปัฏฐาน ให้เรานั่งสมาธิตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง หรือเดินจงกรมหามรุ่งหามค่ำ มันก็ไม่ได้มรรคผลอะไรหรอก เพราะฉะนั้นเราชาวพุทธต้องรู้จักหัดเจริญสติปัฏฐานให้ได้ การเจริญสติปัฏฐานมันมี 2 อย่างซ้อนกันอยู่ เบื้องต้น เราฝึกเพื่อให้เกิดสติ เบื้องปลายเราฝึกเพื่อให้เกิดปัญญา สองอย่างนี้ได้มาด้วยการเจริญสติปัฏฐาน สติ ทำอย่างไรมันจะเกิด สติเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีสติก็ไม่มีศีล ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีสติก็ไม่มีปัญญา สติเป็นองค์ธรรมฝ่ายกุศล จิตที่เป็นกุศลทุกดวงต้องมีสติ อกุศลไม่มีสติหรอก ฉะนั้นสติไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 19 พฤภษาคม 2567
-
Eksik bölüm mü var?
-
ฝึกตัวเอง อย่าเกี่ยง อย่าอ้างโน่นอ้างนี่ มีธรรมะอยู่หมวดหนึ่ง ที่ว่ากฎแห่งกรรมมันจะทำงานได้ดีไม่ดี เรื่องของสมบัติ 4 ข้อ และก็วิบัติ 4 ข้อ อย่างคติวิบัติ พวกเราทั้งหมด เกิดในภูมิมนุษย์ ก็ถือว่าเป็นสุคติ ขณะนี้เราก็มีคติสมบัติ อันแรกเราได้เกิดเป็นมนุษย์ อันที่ 2 เรายังอยู่ในสภาพแวดล้อม ที่เราสามารถภาวนาได้ เรามีอุปธิสมบัติ คือสภาพร่างกายเราแข็งแรง ยังมีสุขภาพที่พอไปได้ อีกอันหนึ่งเขาเรียกกาลสมบัติ หรือกาลวิบัติ คือเวลา ช่วงเวลา อย่างบางช่วงบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ภาวนาดี ภาวนาง่าย ก็มีกาลสมบัติ เกิดในยุคที่บ้านเมืองวุ่นวาย เป็นกาลวิบัติ สมบัติอีกอันหนึ่งเรียกว่าปโยคสมบัติหรือปโยควิบัติ มีความเพียรพยายาม มุ่งมั่นจะทำในสิ่งที่ดีแค่ไหน ตัวนี้เป็นตัวที่พวกเราขาดเยอะ อย่างคติสมบัติของเรามี เราเป็นมนุษย์ อุปธิสมบัติของเรามี ร่างกายเรายังแข็งแรง เวลาของเรายังมี ยังไม่ตาย ยังมีเวลาเหลืออยู่ มันอยู่ที่ปโยคสมบัติของเรามีไหม มีความเพียรไหม มีความพากเพียรที่จะภาวนาไหม ถ้าเรามีความเพียรที่จะภาวนา ตัวอื่นๆ สำคัญน้อย อยู่ตรงไหนก็ภาวนาได้ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ เรื่องวิบัติมันไม่ได้เป็นเรื่องตายตัว ในสถานการณ์อันหนึ่ง สำหรับคนหนึ่งเป็นสมบัติ สำหรับอีกคนหนึ่งเป็นวิบัติได้ อย่างเวลาร่างกายเจ็บป่วย คนภาวนาไม่เก่ง ไม่ได้ภาวนามาพอสมควร จิตใจระส่ำระสาย ฟุ้งซ่าน ถ้าตายไปก็ไปทุคติ เพราะจิตเศร้าหมอง แต่ถ้าเราภาวนาให้ดี จิตใจเราดี ถ้าร่างกายจะแตกจะดับ จิตที่ดีไปสู่สุคติได้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่อ้างว่า ตอนนี้เป็นช่วงคติวิบัติ บ้านเมืองวุ่นวาย หรือเป็นช่วงกาลวิบัติ คนชั่วร้ายมีอำนาจเยอะแยะ พวกสัทธรรมปฏิรูปมีกำลังเข้มแข็ง หรือช่วงนี้ แหม ร่างกายเราไม่ค่อยแข็งแรง ไม่มีข้ออ้างสักเรื่องหนึ่ง ตัวสำคัญคือความเพียรของเรา ปโยคสมบัติ ทำให้มาก เจริญให้มาก ทำสติ ทำสติให้มาก เจริญให้มาก แล้วคราวนี้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ชนิดใด จะอยู่ในสภาพแวดล้อมชนิดใด ร่างกายเราจะเป็นอย่างไร เราสามารถภาวนาได้ เพราะฉะนั้นพยายามฝึกตัวเองให้ดี จะได้ไม่มีข้ออ้าง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 พฤษภาคม 2567
-
ท่านสอนง่ายๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตมีราคะรู้ว่ามีราคะ จิตไม่มีราคะรู้ว่าไม่มีราคะ เห็นไหม คำพูดนี้ตรงไปตรงมา ไม่ได้มีอะไรที่พิสดาร จิตเรามีราคะเราก็รู้ จิตไม่มีราคะเราก็รู้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตมีโทสะรู้ว่ามีโทสะ จิตไม่มีโทสะรู้ว่าไม่มีโทสะ ไม่เห็นจะมีอะไรยุ่งยากเลย ของง่ายๆ ธรรมะเป็นของง่ายๆ เรียบง่าย เปิดเผยตรงไปตรงมา กิเลสของเราทำให้เราคิดว่าธรรมะพิสดารผิดธรรมชาติธรรมดา การภาวนาจริงๆ ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรเลย ให้จิตใจอยู่ที่ตัวเอง รู้เนื้อรู้ตัวอยู่ ศัตรูมี 2 อัน ไม่หย่อนก็ตึง หย่อนไปนี่ภาษาพระเรียกว่า ”กามสุขัลลิกานุโยค” ตึงนี่เรียก “อัตตกิลมถานุโยค” ทำตัวเองให้ลำบาก ทางสายกลางคือรู้อย่างที่กายมันเป็น รู้อย่างที่ใจมันเป็นไป นี่เป็นหลักของการปฏิบัติ เหมือนพระพุทธเจ้าจุดไฟขึ้นท่ามกลางความมืด คนซึ่งไม่ได้ตาบอดก็เริ่มมองเห็น นี่เป็นเรื่องธรรมดา พอมีแสงสว่างมันก็มองเห็น ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์ เพราะฉะนั้นธรรมะเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดเลย แจ่มแจ้งนักพระเจ้าข้า เหมือนเปิดของที่คว่ำอยู่ให้หงาย เหมือนพระองค์จุดไฟในความมืด โดยหวังว่าคนซึ่งมีตาปกติจะมองเห็น ธรรมะมันง่ายๆ ตรงไปตรงมาอย่างนี้ เราก็ไปวาดภาพอะไรฟุ้งซ่านมากมายเยอะแยะไปหมด เสียเวลา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 15 พฤษภาคม 2567
-
รถวินีตสูตร :: หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช 12 พ.ค. 2567 วิสุทธิ 7 เป็นธรรมะที่น่าฟังมาก ธรรมะบทนี้เกิดจากการสนทนาธรรมระหว่าง ท่านพระสารีบุตรกับพระปุณณมันตานีบุตร พระสารีบุตรท่านถามพระปุณณมันตานีบุตร ท่านปฏิบัติธรรมมาบวชเพื่อศีลวิสุทธิใช่ไหม เพื่อทิฏฐิวิสุทธิใช่ไหม เพื่อจิตตวิสุทธิใช่ไหม เพื่อกังขาวิตรณวิสุทธิใช่ไหม เพื่อมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิใช่ไหม มรรคกับอมรรค เขาเรียก มัคคา มัคคะ อันนี้เป็นทาง อันนี้ไม่ใช่ทาง ไม่ใช่ เพื่อปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิใช่ไหม เพื่อเดินในปฏิปทา ไปสู่ความบริสุทธิ์ ให้เกิดปัญญาที่บริสุทธิ์ใช่ไหม ไม่ใช่ เพื่อญาณทัสสนะที่บริสุทธิ์หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ๆ รวมแล้วก็คือ ธรรมะทั้ง 7 ประการที่เป็นเส้นทางไปสู่ความบริสุทธิ์ พระปุณณมันตานีบุตรบอกว่าท่านไม่ได้ปฏิบัติเพื่อสิ่งเหล่านี้ ท่านปฏิบัติธรรมเพื่ออนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีเชื้อเหลือ ไม่มีขันธ์เหลือ วิสุทธิ 7 เป็นทางไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น แต่เราอย่ายึดตัวทาง มิฉะนั้นเราจะไปไม่รอด ไปไม่ถึงฝั่ง พระสารีบุตรบอกว่าที่ท่านพระปุณณมันตานีบุตรพูดมา นั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา แล้วก็บอกไม่มีทางอื่นที่จะบรรลุมรรคผล ก็มีแต่วิสุทธิ 7 นี่ล่ะ แต่วิสุทธิ 7 ท่านก็ไม่เอา จะเอาอย่างไรกันแน่ พระปุณณมันตานีบุตรท่านก็เลยบอกว่าจะเปรียบเทียบให้ฟัง พระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่ที่สาวัตถี แล้วได้เมืองสาเกตมาอีกเมืองหนึ่ง เป็นเมืองใหญ่เศรษฐกิจดี แกต้องปกครองเมืองใหญ่ๆ 2 เมืองซึ่งตั้งอยู่ห่างกัน ฉะนั้นเวลามีราชการด่วน พระเจ้าปเสนทิโกศลจะเดินทางจากสาวัตถีไปสาเกต จะนั่งรถม้าคันเดียวไป ม้าวิ่งไม่ไหว เขาก็เลยมีสถานีรายทาง 7 สถานีทั้งหมด ตั้งแต่สถานีที่หนึ่งคือจากสาวัตถีไปที่สอง สาม สี่ สถานีที่เจ็ดก็ถึงเมืองสาเกต บอกเวลานั่งรถม้า ก็วิ่งไปเต็มที่เลย วิ่งเร็วๆ เต็มเหนี่ยว พอไปถึงสถานีที่สองม้ามันเหนื่อยแล้ว เปลี่ยนรถ ขึ้นรถอีกคันหนึ่ง ม้าอีกฝูง อีกคู่หนึ่ง วิ่งต่อไปอีก เป็นรถ 7 ผลัด เดินทางไปด้วยรถ 7 ผลัด ในที่สุดก็ถึงเมืองสาเกต ถ้าคนที่เมืองสาเกตถามพระเจ้าโกศลว่า พระองค์เสด็จมาด้วยรถม้าคันสุดท้ายนี้หรือ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นที่ผ่านมาได้เพราะอาศัยรถทั้ง 7 ผลัด คืออาศัยวิสุทธิ 7 นั่นเอง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ถึงที่สุดแห่งทุกข์เพราะญาณทัสสนวิสุทธิ ไม่ใช่แค่นั้น เราก็จะรู้คุณงามความดีทั้งหลายที่เราทำมา เป็นไปเพื่อส่งทอดเราไปสู่นิพพาน ถ้าเรายึดคุณงามความดีอันนั้นเอาไว้อย่างเหนี่ยวแน่น เราก็ไปนิพพานไม่ได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 พฤษภาคม 2567
-
เราเรียนธรรมะ สิ่งที่เราจะได้มาก็คือตัวสัมมาทิฏฐิ ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก ไม่ได้อย่างอื่น สิ่งที่ได้จริงๆ แค่สัมมาทิฏฐิ ถ้าเรารู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ เรียกเรารู้จักสัมมาทิฏฐิแล้ว ใจเราก็จะหมดตัณหา หมดความยึดถือ หมดความอยาก หมดความยึด หมดความดิ้นรน ความอยากคือตัณหา ความยึดถือคืออุปาทาน ความดิ้นรนของจิตคือภพ ถ้าหมดสิ่งเหล่านี้ จิตก็จะไม่ไปหยิบฉวยขันธ์ 5 ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันจะไม่ไปหยิบฉวยจิตขึ้นมา ขันธ์ 5 เป็นตัวทุกข์ ถ้าจิตเราไม่ไปหยิบฉวยขันธ์ 5 ขึ้นมา จิตมันก็พ้นทุกข์ คือพ้นจากขันธ์ 5 หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 พฤษภาคม 2567
-
รู้สึกลงไป ร่างกายที่นั่งอยู่มันของถูกรู้ รู้สึกไหม ร่างกายที่ขยับมันถูกรู้ ไม่ต้องไปเกร็ง ไม่ต้องจ้อง ขยับแล้ว จ้อง ไม่ได้เรื่องอย่างนั้น ร่างกายที่หายใจออกก็ถูกรู้ ร่างกายที่หายใจเข้าก็ถูกรู้ อันนี้เป็นการจะก้าวไปสู่การรู้ทันจิตตัวเองได้ ร่างกายมันถูกรู้ ใครเป็นคนรู้ จิตเป็นคนรู้ ร่างกายหายใจถูกรู้ จิตเป็นคนรู้ ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอนถูกรู้ จิตเป็นคนรู้ ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง จิตเป็นคนรู้ ค่อยๆ ฝึกไป แล้วเราจะสามารถแยกได้ว่ากายกับจิตคนละอันกัน พอเราแยกกายกับจิตเป็นคนละอันกันได้แล้ว เราจะเริ่มเดินปัญญาต่อได้แล้ว เราจะเห็นว่าร่างกายเป็นไตรลักษณ์ ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา เป็นของถูกรู้ถูกดู มันเป็นอนัตตาอยู่ ร่างกายที่หายใจออกก็ไม่เที่ยง ร่างกายหายใจเข้าก็ไม่เที่ยง ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน ก็ไม่เที่ยง ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่ง ก็ไม่เที่ยง เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายได้ เราไม่ได้ฌาน เราดูกายด้วยวิธีนี้ ดูให้เห็นว่ากายมันเป็นของถูกรู้ แล้วเราจะแยกกายกับจิตออกจากกันได้ เรียกแยกรูปแยกนาม แยกธาตุแยกขันธ์ได้ เราก็จะเจริญปัญญาต่อได้โดยที่เรายังไม่ได้ฌาน ถ้าเราไม่ได้ฌานแล้วเราดูไปด้วย ร่างกายมันถูกรู้ จิตเป็นคนรู้ ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ต่อไปเราก็จะเห็นจิตเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จิตเดี๋ยวก็รู้กาย เดี๋ยวก็หนีไปคิดเรื่องอื่น เดี๋ยวก็รู้กาย เดี๋ยวก็ไปดูเรื่องอื่น จิตมันวิ่งไปวิ่งมา เราก็จะเห็น จิตมันบางทีก็มีความสุข บางทีมันก็มีความทุกข์ บางทีก็เป็นกุศล บางทีก็เป็นอกุศล เราอาศัยการดูกายในเบื้องต้น แล้วพอแยกกายกับจิตออกจากกันได้แล้ว เราจะดูจิตได้ อันนี้เป็นวิธีทริกนิดหนึ่ง แต่ว่าหลวงปู่มั่นก็สอน รู้กายเพื่ออะไร เพื่อให้เห็นจิต อันนี้ท่านก็สอนเหมือนกัน หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 พฤษภาคม 2567
-
ชาวพุทธเราร่อยหรอเต็มทีแล้ว ชาวพุทธเราไม่ได้เชื่อฟังพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้ใส่ใจในการศึกษา ชาวพุทธเรายังตกอยู่ในความประมาท ใช้ชีวิตร่อนเร่ไปวันๆ หนึ่ง แล้วก็หวังพึ่งคนอื่น หวังพึ่งสิ่งอื่น ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อผลของกรรม ไม่ใช่ชาวพุทธหรอก มันเป็นพุทธแต่ชื่อหรอก ไม่มีการศึกษาอย่างยิ่งเลย อย่างพระพุทธเจ้าบัญชาให้มาทำโน้นนี้ ไร้สาระ หรือเป็นพระอนาคามีมาเกิด โกหกซึ่งหน้า “อนาคา” แปลว่า “คนไม่กลับมาแล้ว” ไม่กลับมาสู่โลกนี้แล้ว มันจะมาได้อย่างไร พระอนาคามีละกามคุณอารมณ์ได้แล้ว ละกามาวจรได้แล้ว โลกนี้เป็นกามาวจร กามาวจรภูมิ ภูมิของคนที่ยังเสพกามอยู่ พระอนาคามีพ้นไปแล้ว ขึ้นไปสู่รูปภูมิ อรูปภูมิโน่น ฉะนั้นเชื่อกันแบบไม่มีการศึกษา เชื่องมงาย หวังแต่จะพึ่งปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ชาวพุทธหรอก ชาวพุทธเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อในการศึกษาปฏิบัติ ไม่ประมาทในการดำรงชีวิตของเรา ถ้าทำอย่างนี้ได้ เราก็จะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงได้ ถ้าหวังพึ่งปาฏิหาริย์ หวังพึ่งคนอื่นให้มาช่วยเรา ต้องรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 4 พฤษภาคม 2567
- Daha fazla göster