Bölümler

  • mtx125 ถือเป็นสายพันธุ์วิบากตราปีกนก ที่เรียกว่าจัดมาเต็มในยุคนั้น ทั้งหม้อน้ำ ทั้งโช้คเดี่ยวโปรลิงค์ ทั้งสมรรถนะ กับเครื่องยนต์ที่เป็นบล็อค 2 จังหวะค่ายปีกนก    แต่ทว่าเสียดายที่ค่ายปีกนกปล่อยมาสู่สังเวียนช้า กว่าค่ายอื่นเพราะค่ายคู่แข่งหันไปลุยกลุ่มรถสปอร์ตหนัก และ ตลาดของวิบากก็ค่อยๆละลายไปแล้ว ค่ายปีกนกถึงทำคลอดออกมา ถ้าออกมาในช่วงที่ ตลาดวิบากขยี้กันในตลาด แล้ว ค่ายปีกนกปล่อยออกมาก็คง มันน่าดู ตรงข้ามตอนที่เปิดศึกวิบากกัน ค่ายปีกนกยังเล่นกับบล็อค4จังหวะในสายพันธุ์ของ SL และ xl125 ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ แต่เป็นเพราะค่านิยมของชนชาวสองล้อที่มีต่อ เครื่องยนต์4 จังหวะตราปีกนกในยุคนั้น มีน้อยมาก ตรงข้ามถ้าหากในระหว่างที่ตลาดวิบากรุ่ง แล้วปีกนกปล่อย วิบากเครื่องบล็อค 2 จังหวะ ออกมา อาจจะขายกันระเบิดเถิดเทิงก็อาจเป็นได้.   สวัสดี และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับฟังนะครับ 

  • เจอคำถามแบบนี้ มันคือปัญหาโลกแตกอีกล่ะครับ   ทุกวันนี้เทคโนโลยี่มันตามกันทัน มันไม่มีอะไรดีกว่ากัน ถึงดีก็ไม่มาก  แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันคืออยู่ที่ความพึงพอใจของคุณของผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง  สมมติว่าคุณจะซื้อรถ คุณก็ต้องเข้าใจรถ รู้จักรถมันมีอะไรใหม่บ้าง อุปกรณ์เสริม วัสดุต่างๆ การประกอบเป็นไงบ้าง มีอุปกรณ์ความปลอดภัยอะไรบ้าง นั่งแล้วเป็นไงสะดวกสบายมั้ย ทัศนวิสัยเวลานั่งขับขี่แล้วเป็นไงบ้าง เหล่านี้มันเป็นพื้นฐานในการเลือกซื้ออยู่แล้ว  แต่ไม่ใช่ไปสนใจไปให้ความสำคัญว่า มันสามารถวิ่งใช้ความเร็วสูงสุดได้เท่าไหร่?? ถามว่าคุณจะซื้อไปใช้งานบนท้องถนน หรือว่าลงสนามแข่งกันแน่ ถ้าซื้อไปใช้งานบนท้องถนนสิ่งเหล่านี้มันควรจะเป็นจุดที่มีความสำคํญที่เป็นอันดับรองๆนะผมคิดของผมเช่นนี้ ...
           โลกนี้มันไม่มีอะไรดีที่สุด แต่มันอาจจะมีข้อดึกว่ากันเล็กๆน้อยๆ นั่นเป็นผลที่ค่ายผู้ผลิต ผู้ขาย เขาก็ต่างหวังในด้านการตลาด ด้านการขาย เขาจึงบอกคุณแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่สวยงาม ไม่มีใครบ้าที่จะบอกคุณว่า จุดนั้นของรถมันด้อย มันไม่ดี   ฮ่า ฮ่า ถ้าแบบนั้นก็คงบ้าแล้วถ้าคุณเป็นคนขาย  
          อีกอย่างที่สำคัญคือ คุณควรจะได้ลองขับขี่ ลองใช้อุปกรณ์ที่เพิ่มมา รวมทั้งควรจะเรียนรู้ให้เข้าใจในเทคโนโลยี่ที่เขาบอกว่ามันดีกว่า  คือต้องใช้มันให้เป็น ถ้าเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมีผลต่อการขับขี่ของคุณ เช่นระบบเบรค ระบบเซฟตี้ต่างๆ สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้เป็นต้น...สวัสดีครับ

  • Eksik bölüm mü var?

    Akışı yenilemek için buraya tıklayın.

  • ครับ น้าหม่อมยังชวนท่านนั่งยานไทม์แมชชีน โต้ลมหนาวที่เริ่มพัดมาเบาๆ ย้อนรอยขอดเกร็ดไปดูเรื่องราวของรถเครื่อง ที่โดดเด่นในยุคสมัยเก่าก่อนเมื่อซักกว่า40ปีผ่านมาแล้วครับ คือซูซูกิรุ่น เอ100. ถือว่าเป็นเรือธงของซูซูกิในยุคโน้นอีกรุ่นหนึ่งที่ขายดิบขายดี เป็นที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นยุคกางเกงขาบาน รองเท้าหนังกลับเช็คโก โน่นแหละครับท่าน  

    เอ100. ได้รับความนิยมก็เพราะว่า มันเปฌนรถประเภทสปผอร์ตที่ วัยรุ่นนิยมเอามาแต่งเพิ่มสมรรถนะได้ง่าย และรูปร่างที่เพรียบบอบบาง มีความสวยงาม จับโน่น ถอดนี่แล้ว ขาซิ่งในยุคโน้นบอกว่ามัน แต่งขึ้น ทั้งเปลี่ยนแฮนด์ ใส่ท่อรีด เสียงแสบแก้วหู วิ่งกันฝุ่นตลบเพราะยุคโน้นถนนยังเป็นลูกรังดินแดงครับ บนท้องถนนแถวต่างจังหวัดยังมี ล้อเกวียนเทียมวัวเทียมควายขนข้าวสารขนฟาง ขนสัมภาระให้เห็น  ครับเอ100 ของค่ายซูซูกินั้น เครื่องยนต์มันโดดเด่น โรตารีดิสวาล์ว 4เกียร์ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ดีดม้าออกมาได้9.5 ตัว ยุคโน้นก็ถือว่าเด็ดละครับท่าน   ...ติ ดตามกันต่อๆไปนะครับสำหรับท่านๆที่สนใจ หรืออยู่ในแวดวง2ล้อเครื่องสยามประเทศ น้าหม่อมจะมานั่งเล่า นั่งเขียน สารพันสาระในวงการ ทั้งย้อนอดีต และปัจจุบัน สลับสับเปลี่ยนกันไป แบบนานาสาระ เอาที่เคยรู้ เคยเห็น เคยสัมผัส  อีกทั้งสิ่งไหนไม่รู้ หรือมีข้อมูลน้อยก็จะพยายามสืบเสาะสอบถามท่านผู้รู้เก็บมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ขอบคุณที่ติดตาม

  • เมื่อครั้งประมาณ40ปีที่ผ่านมา บนท้องถนนลูกรังสีแดงตบแต่งเต็มไปด้วยฝุ่น หิน ดินทราย ตามชนบาทยังคงมีล้อเทียมเกวียนเทียมควายวิ่งขนข้าวขนฟางจากท้องไร่ ท้องนา เพื่อไปเก็บในยุ้งฉาง  วิถีชีวิตของคนท้องถิ่นชนบท นั้นยังคงเป็นไปแบบธรรมดาแอบอิงแนบชิดใกล้ธรรมชาติ ทีสียังมีดูน้อยมาก ส่วนมากก็ขาว/ดำ ฟังวิทยุทรานซิสเตอร์ก็เอเอ็ม.เสียงงี้ดังซ่าๆ ไม่สดใสดังยุคสมัยนี้ที่มีแต่เอฟเอ็ม.เสียงใสปิ๋งละครับท่าน

       มาดูแวดวง2ล้อเครื่องเองก็ มี4 ค่ายแดนซามูไรที่เปิดศุกรบรากันเอง หลังจากยกพลขึ้นบนช่วงหลังสงครามก็ไล่ค่ายยุโรปแตกกระเจิงกลับถิ่นเดิม ก็เหลือแต่ค่ายซามูไรที่เปิดแนวรบกันเอง จนมาถึงยุคสมัยที่ มีการนำเอารถสายพันธุ์วอบากเข้ามา ก็ยังคงฟาดฟันดาบซามูไรใส่กันล่ะครับท่าน  ทั้งสายพันธุ์ TS125ที่ออกมาแหย่ชาวบ้านก่อน ตามด้วยค่ายตั๊กแตนเขียวสายพันธุ์ KE125 และค่ายปีกนกนั้นส่งมาลุยทั้งสายพันธู์SL และ XL125 ซึ่งเป็นเพียงค่ายเดียวในกลุ่มที่ยังคงงมโข่งอยู่กับบล็อค4จังหวะ  และมาแรงคือค่ายส้อมเสียงที่ส่งสายพันธุ์ DT125มาต่อกรด้วย และสามารถสยบคู็แข่งได้อย่างราบ เพราะDT125นั้นมาแปลก คือ มีโช้คหลังเพียงโช้คเดียวสมัยนั้นก็แปลกกว่าค่ายอื่นละครับ

    ซึ่งโช้คหลังเดี่ยวของค่ายส้อมเสียงนั้นเรียกว่า โมโนโช้ค ซึ่งยุคนั้นยังเป็นโช้คแบบที่วางลงบนสวิงอาร์มหลัง แบบไม่มีกระเดื่องมารองรับ  แต่ถึงกระนั้นก็ยังถือว่าเป็นจุดเด่น อีกทั้งรูปร่างของรถที่เพรียวบางสวยงาม ก็ทำให้ค่ายส้อมเสียงขึ้นยืนบนสเกลในตำแหน่งหัวโจ๊กโด่เด่อยู่บนสุดหัวแถว  

         จนมาถึงทุกวันนี้ นักสะสม นักเล่น นักขับขี่ ผู้ที่ชื่นชอบรถเครื่องรุ่นเก้าในกลิ่นไปของน้ำมันทูที ก็ยังคงควานหามาครอบครอง ทั้ง DT และทุกสายพันธุ์ที่กล่าวมาข้างต้นครับ   ว่างๆจะเสาะหาแหล่งสะสมแล้วนำมาเล่าสู่กันฟังครับ  ...กราบสวัสดีมายังทุกท่านครับ

  • ตอนนี้ย้อนรอยขอดเกร็ดไปดูตลาดรถเครื่อง หรือรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือรถบิ๊กไบค์ที่เรียกกันในยุคปัจจุบัน     ในยุคสมัยโน้นรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือรถบิ๊กไบค์ที่เข้ามาขายในบ้านเรา ส่วนมากจะเป็นรถที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว หรือเรียกว่ารถมือสอง second hand นั่นเองครับ  จะเป็นการนำเข้าโดยร้านขาย หรือผู้นำเข้าอิสระ เกือบทั้งหมดนะครับ มีทั้งนำเข้าเป็นคัน และแบบเป็นอะไหล่ชิ้นส่วน แล้วมาประกอบในบ้านเรา โดยร้าน ที่นำเข้ามานั่้นแหละครับ  การซื้อขายก็ใช้ใบอินวอย โดยทางร้านจะออกให้ลูกค้า และนำไปตรวจสภาพจดทะเบียนได้ หรือจะให้ทางร้านจัดการให็ก็ว่ากันไปครับ มีทั้งขายสด/ผ่อน ส่วนมากก็ผ่อนกับทางร้านโดยตรงครับ   รถที่นำเข้าก็มีหลากหลายรุ่น หลากหลายราคา หลากหลายสภาพ และหลากหลายปี  ราคาจะไม่มีกำหนดตายตัว อยู่กับลูกค้า เพราะร้านที่ขายก็ตั้งราคากันเอง   อย่างที่บอกคือ ว่ากันตามสภาพและตามปีของรถแหละครับ  

           เมื่อตลาดเริ่มโต มีร้านขายมากขึ้นอย่างกะดอกเห็ด  บางร้านมีหลายสาขา บางร้านก็ตัดมาจากโกดัง มาโดยตรง รวมทั้งมีร้านขาย ร้านซ่อม บริการแบบครบวงจร หรือใครต้องการรถรุ่นไหน ปีใด ก็สามารถไปสั่งจองกับทางร้านได้ คล้ายๆกับพรีออเดอร์   โดยทางร้านจะรับประกันให้ลูกค้า   อีกทั้งยังมีการประสัมพันธ์ มีการลงโฆษณาบนสื่อนิตยสารแบบว่า จองกันข้ามปีเลยล่ะครับ ลงกันยาวๆ

           เมื่อมีผู้นิยมใช้มากขึ้น ก็มีการตั้งกลุ่มกันครับ ยุคโน้นมีมากมายหลายกลุ่มทั้งในเมืองหลวง และในต่างจังหวัด มีกลุ่มมากมาย ส่วนมากจะขับขี่ท่องเที่ยวกันเอง เป็นกลุ่มๆ และผู้ใช้ส่วนมากจะเป็นคนในวัยกลางคน เป็นส่วนมาก รถที่ขับขี่ก็ไม่ได้แต่งหรือเพิ่มสมรรถนะอะไรมากมาย แต่ส่วนมากจะขับขี่กันเดิม เที่ยวกันก็สนุกสนานเฮฮาร์ปาร์ตี้กัน ทั้งในบ้่านเรา และในต่างประเทศ ยุคโน้น ก็ มาเลยื,สิงคโปร์ และลาว เวียตนาม ที่ขับขี่ไปเที่ยวกัน วันหยุดก็นัดเจอกันเที่ยวในประเทศก็ว่ากันไป  ซึ่งสมัยโน้นใครขี้บิ๊กไบค์ จะดูเท่ มากเป็นที่สนใจของผู้พบเห็น และ ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มไหน จังหวัดใด เจอกันก็จะทักทาย โบกไม้โบกมือทักทายกัน

          ตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ มิอสอง ที่นำเข่้ามาขายในบ้านเรา ก็ค่อยๆเงียบไป เมื่อมีกฏหมายออกมาบังคับ คือห้ามนำเข้ามาขาย ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วน หรือเป็นคัน เมื่อหลายปีที่ผ่านมา และจะไม่สามาถนำไปจดทะเบียนได้ จึงถือเป็นรถผิดกฏหมาย  ความนิยมก็ค่อยๆซาลง   ซึ่งความจริงก็เป็นแนวทางของค่ายผู้ผลิตนั่นแหละครับ ที่ มีการพูดคุยกับภาครัฐฯ เพราะว่าทางผู้ผลิตทั้ง รวมทั้งตัวแทนจะนำรถใหม่แบบ100% เข้ามาขายเอง  ในตอนแรกรถใหม่ที่ค่ายนำเข้ามาขายเองมีราคาค่อนข้างสูง เอื้อมถึงยาก จนต่อมามีการลดภาษีการนำเข้า ราคารถก็ทำให้เอื้อมถึงง่าย รวมทั้งมีการผลิตในบ้านเราของบางค่าย ก็ทำให้ตลาดนี้โตมาตลอดเมื่อประมาณ6-7 ปีมานี้เอง และการซื้อขายก็มีสถาบันการเงินมารองรับ ทำให้การซื้อขายเป็นเรื่องง่าย   

          และ3-4 ปีมานี้ รถบิ๊กไบค์ที่เป็นรถใหม่ ที่นำเข้า หรือผลิตในบ้านเราโดยค่ายผู้ผลิต และที่นำเข้าโดยเอกชน ตัวแทนจำหน่ายอิสระ ก็มีให้เลือกซื้อหากันหลากหลายสายพันธุ์ โดยเป็นรถใหม่ทั้งหมด อีกทัั้งยังมีหลายแบรนด์ที่ย้ายฐานมาลงหลักปักฐาน ตั้งโรฃฃานผลิตในบ้านเรา    .

    ....และล่าสุดตอนนี้ก็มีกฏหมายออกมา เพื่อ ให้ผู้ที่จะสามารถขับขี่รถบิ๊กไบค์ได้ ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และต้องมีการสอบ มีการอบรมการขับขี่ก่อนที่จะทำใบอนุญาตขับขี่  โดยจะเริ่มใช้ประมาณ เดือนกุมภาพันธ์2564 ครับ   และรถที่เรียกว่าบิ๊กไบค์ ต้องมีปริมาตรความจุกระบอกสูบ400 ซีซี.ขึ้นไป (ไม่ได้บอกว่าเครื่องยนต์กี่สูบนะครับ แต่ใช้ความจุเครื่องยนต์ คือ400 ซีซี.ขึ้นไปนั่นเอง.   สวัสดีครับ

  • เป็นเรื่องราวของ รถเครื่องสายพันธุ์สปอร์ต ที่ จุดเชื้อไฟแล้วโยนสู่ลานประลอง สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับ แวดวง2ล้อเครื่องในสยามประเทศเลยก็ว่าได้  ที่เชื้อลุกลามไปสู่ค่ายอื่น จากแดนซามูไรด้วยกัน ต่างก็พัฒนา สายพันธุ์สปอร์ตของแต่ละค่ายแล้วส่งสู่ลานประลองท้าดวลกันเองล่ะครับท่าน

          AR125 คือสปอร์ตสายพันธุ์ใหม่ ที่ค่ายสีเขียว จุดเชื้อเติมความแรงมาแบบเข้มข้นล้นดีกรีเลยก็ว่าได้   เครื่องยนต์ระบบ RRIS.พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งถือเป็นสปอร์ตคันแรกที่เล่นของแรงแบบจัดเต็ม  ระบบเบรคหน้า จานดิสค์ ลูกสูบเดี่ยว ระบบกันสะเทือนหลัง ยูนิแทร็ค  เกียร์6สปีด    ขุมพลังบล็อคนี้ เค้นม้าออกมาได้ 22 ตัว เรียกว่ามากกว่าใครอื่นในตอนนั้น และออกมาเป็นค่ายแรก จึงเป็นบรรทัดฐานใหม่ สำหรับสปอร์ตรุ่นต่อๆมา ที่ต้องพัฒนามาแบบจัดเต็มด้วยเช่นกัน

  • ในยุคแรกๆ 2จังหวะที่ดังๆ ก็เริ่มมาจากสายพันธุ์ุของสปอร์ต ในยุคนั้นก็มี ค่ายส้อมเสียง ทั้ง yg1 และyl2  จนต่อมา ของค่าย เอส. ก็มี a80-a100 ที่ดังกันระเบิดเถิดเทิง โดยเฉพาะ เอ100 นั้น ขายถล่มทลาย เพราะวัยรุ่นชอบมันแต่งขึ้น ในแฮนด์หมอบ หรือที่ยุคโน้นเรียกว่าแฮนด์เขาควาย คือ สั้นๆ เล็กๆ   ส่วนท่อไอเสียก็ เปลี่ยนใส่ท่อรีด ยุคนั้นก็เรียกว่าสารพัดท่อรีดละครับท่าน เสียงนี่ลั่นซอย บิดกันที ขี้หูเต้นระบำกันในรูหูนั่นแหละ     ส่วนค่ายปีกนกก็เป็น 4 จังหวะ ที่เริ่มมีมายุคแรกๆ เช่นc72-77 และต่อมายุคหลังถึงมี s65-s90 และถัดมามีjx110-125  หรือ cg110  และ cb125เป็นต้นที่แข่งกับ yl2ตราส้อมเสียง และ เอ100 ค่ายเอส..:ซึ่งต่อมาค่ายเอส.ยังมีรุ่น wolf ออกมาขายด้วย เป็นแบบ2ท่อ มีความจุขนาด90 ซีซี.ก็ขายได้จำนวนหนึ่ง และค่ายปีกนกหันไปสั่ง ลิตเติ้ลฮอนด้า และสกูตเตอร์รุ่น ลีดเข้ามาขายด้วยนะ เรียกว่ามาแบบ ก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ ราคาค่าตัวก็กระโดดซะจนขายไม่ออก แต่ก็หมดจากสต๊อคเพราะนำเข้ามาขายไม่กี่คันเท่านั้นเอง สังคมสยามประเทศนั้นไม่นิยม 

        ยุคถัดมา สายพันธู์สปอร์ตของค่ายต่างๆ ก็ เน้นความสวยงาม และเน้นสมรรถนะ ในยุคต่อๆมา  เดี๋ยวจะมาเล่าสู่กันฟังว่า ในยุค ก่อนที่จะรบกันด้วยอาวุธที่เน้นสมรรถนะ นั้น แต่ละค่าย รบกันยังบไง??

  • เป็นการพูดคุย เล่าเรื่อง โดย น้าหม่อม (วิถีของน้าหม่อม) จะพานั่งยานไทม์แมชชีนย้อนรอยขอดเกร็ด  โดยเนื้อหาเรื่องราวจะเกี่ยวกับแวดวง2ล้อเครื่อง หรือ แวดวง รถจักรยานยนต์ในสยามประเทศ ตั้งแต่อดีต ในช่วง50-60 ปีที่ผ่านมา จะเป็นแบบสารพันมีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง เอามาเล่าสู่การฟัง แบบหลากหลาย ว่าในแต่ละยุคสมัยมันเป็นเช่นไร ม้าเหล็กหลายรุ่น มันเป็นเช่นไร ทั้งยุคเก่าก่อน มาจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน จะเก็บมาเล่าสู่กันฟัง ทั้งที่เคึยเห็น เคยสัมผัส และสรรหาสอบถามผู้รู้ แล้วนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง   และบางครั้งอาจจะมีเรื่องราวพาเที่ยว ชวนกิน ความรู็ปกิณกะอื่นๆ ลงสลับสับเปลี่ยนกัน