Episodios
-
““เราเป็นต้นองุ่นแท้, และพระบิดาของเราเป็นผู้รักษา (ต้นองุ่น). ทุกกิ่งในเราที่มิได้เกิดผล พระองค์ทรงตัดทิ้งเสีย, และทุกกิ่งที่เกิดผล พระองค์ทรงลิดแขนงเพื่อจะให้เกิดผลมากขึ้น.”
“บัดนี้ท่านทั้งหลายถูกชำระให้สะอาดโดยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่านแล้ว. จงเข้าสนิทอยู่ในเรา, และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน. กิ่งจะเกิดผลเองไม่ได้ เว้นไว้ติดอยู่กับต้นฉันใด. ท่านทั้งหลายจะเกิดผลไม่ได้ เว้นไว้ได้เข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น.”
“เราเป็นต้นองุ่น, ท่านทั้งหลายเป็นกิ่ง ผู้ใดที่เข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในเขา, ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้านอกจากเราแล้ว ท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย. ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา, ผู้นั้นต้องถูกทิ้งเสียเหมือนกิ่ง, แล้วก็เหี่ยวแห้งไป, และเขารวบรวมไว้ ทิ้งในไฟเผาเสีย.”
“ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิท (ฝัง) อยู่ในเรา, และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่าน ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนา ก็จะทรงทำสิ่งนั้นเพื่อท่าน”
“พระบิดาของเราได้รับเกียรติยศเพราะสิ่งนี้, คือเมื่อท่านเกิดผลมาก, ท่านทั้งหลายจึงเป็นสาวกของเรา.””
“ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติตามบัญญัติของเรา, ท่านจะตั้งมั่นคง (เข้าสนิท) อยู่ในความรักของเรา เหมือนเราได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระบิดา, และตั้งมั่นคง (เข้าสนิท) อยู่ในความรักของพระองค์ นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา, คือให้ท่านทั้งหลายรักกันและกันเหมือนเราได้รักท่าน ความรักใหญ่กว่านี้ไม่มี, คือว่าซึ่งผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตัวเพื่อมิตรสหายของตน. ถ้าท่านทั้งหลายจะประพฤติตามที่เราสั่งท่านๆ จะเป็นมิตรสหายของเรา. ท่านทั้งหลายมิได้เลือกเรา, แต่เราได้เลือกท่านทั้งหลาย. และได้ตั้งท่านไว้เพื่อท่านจะไปเกิดผล. และผลของท่านจะอยู่ถาวร เพื่อเมื่อท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา, พระองค์จะทรงประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน.”
โยฮัน 15: 1-8, 10, 12-14, 16 -
“ฝ่ายข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจะร้องทูลพระเจ้า; และพระยะโฮวาจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด. พระองค์ได้ทรงไถ่ชีวิตจิตของข้าพเจ้าให้เป็นสงบสุข พ้นจากสงครามที่ยกมาสู้ข้าพเจ้า; เพราะคนที่รบสู้ข้าพเจ้ามีมาก. พระองค์, คือพระเจ้าที่ทรงประทับอยู่บนพระที่นั่งแต่กาลโบราณ, จะทรงฟัง, และทรงแก้แค้นเขาเหล่านั้น, คือเหล่าคนที่ไม่รู้เปลี่ยนใจ (do not change), และไม่เกรงกลัวพระเจ้า. เขาได้ยื่นมือออกต่อสู้คนที่เป็นมิตรกับเขา: เขาได้หักคำสัญญาไมตรีของตนแล้ว. ปากเขาปราศรัย แต่น้ำใจเขาเชือดคอ: วาจาของเขาอ่อนโยนกว่าน้ำมัน, แต่ว่าคมเหมือนดาบที่ชักออกจากฝัก. จงทอดภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวา, และพระองค์จะทรงเป็นธุระให้ (ค้ำชู): พระองค์จะไม่ยอมให้คนชอบธรรมแตกฉานซ่านเซ็น (คลอนแคลน, ล้มลง) ไป.”
บทเพลงสรรเสริญ 55:16, 18-22 -
¿Faltan episodios?
-
““อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า. จงวางใจในเราด้วย.
เราจะมาอีกรับท่านให้ไปอยู่กับเรา เพื่อเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย. เราจะไปทางไหน ท่านก็รู้, ท่านทั้งหลายรู้จักทางนั้น.” พระเยซูตรัสแก่เขาว่า, “เราเป็นทางนั้น, เป็นความจริง, และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาเว้นไว้มาทางเรา ถ้าท่านทั้งหลายได้รู้จักเราแล้ว, ท่านก็จะได้รู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็รู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์.”
เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ผู้ที่วางใจในเรา กิจการซึ่งเรากระทำนั้นเขาจะกระทำด้วย และเขาจะกระทำการใหญ่กว่านั้นอีก, เพราะเราไปถึงพระบิดาของเรา.
ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา, ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา.
เราจะขอพระบิดา, และพระองค์จะทรงประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งแก่ท่าน, เพื่อจะอยู่กับท่านเป็นนิตย์. คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้นั้นโลกรับไม่ได้, เพราะไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์, เพราะว่าพระองค์อาศัยอยู่กับท่าน และอยู่ภายในท่าน
ผู้ที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัตินั้น, ผู้นั้นแหละรักเรา, และผู้ที่รักเราพระบิดาของเราจะทรงรักผู้นั้น, และเราจะรักเขา และจะสำแดงตัวของเราเองให้ปรากฏแก่เขา,”
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า, “ถ้าผู้ใดรักเรา, ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา, แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา, และจะสถิตอยู่กับเขา ผู้ที่มิได้รักเรา, ผู้นั้นมิได้ประพฤติตามคำของเรา คำซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินไม่ใช่คำของเรา, แต่เป็นคำของพระบิดาที่ทรงใช้เรามา.”
แต่พระองค์ผู้ช่วยนั้นคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรา. พระองค์นั้นจะสอนท่านทุกสิ่ง. และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวแก่ท่านแล้ว. เรามอบความสุขไว้แก่ท่านทั้งหลาย ความสุขของเราๆ ให้แก่ท่านเราให้แก่ท่านไม่เหมือนโลกให้. อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์. อย่ากลัวเลย.”
โยฮัน 14:1, 3-4, 6-7, 12, 15-17, 21, 23-24, 26-27 -
“ข้าแต่พระเจ้า, ขอทรงช่วยข้าพเจ้าโดยพระนามของพระองค์, ขอทรงตัดสินความของข้าพเจ้าโดยฤทธิ์เดชของพระองค์. ข้าแต่พระเจ้า, ขอทรงโปรดสดับฟังคำอธิษฐานของข้าพเจ้า; ขอพระองค์เงี่ยพระกรรณลงฟังวาจาของข้าพเจ้า. เพราะแขกเมืองลุกขึ้นต่อสู้ข้าพเจ้า, คนโหดร้ายแสวงหาชีวิตของข้าพเจ้า: เขาทั้งหลายไม่ยกพระเจ้าไว้ต่อหน้าเขาเลย. ดูเถิด, พระเจ้าเป็นผู้ทรงช่วยข้าพเจ้า: พระองค์ป้องกันชีวิตของข้าพเจ้าไว้.”
บทเพลงสรรเสริญ 54:1-4 TH1940 -
”เมื่อก่อนการเลี้ยงปัศคา พระเยซูทรงทราบว่าเวลามาถึงแล้ว ที่พระองค์จะออกจากโลกไปยังพระบิดา, พระองค์ทรงรักพวกศิษย์ของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้แล้ว, พระองค์ยังทรงรักเขาจนถึงที่สุด. แล้วพระองค์จึงเอาน้ำเทในอ่าง, แล้วทรงล้างเท้าของเหล่าสาวก. และเช็ดด้วยผ้าที่คาดเอวไว้นั้น. เปโตรจึงทูลว่า. “พระองค์จะล้างเท้าของข้าพเจ้าไม่ได้เลย.” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า, “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว, ท่านจะมีส่วนในเราไม่ได้.”
พระเยซูตรัสแก่เขาว่า. “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่ต้องการล้างตัวอีก เว้นแต่เท้า”
เหตุฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ ได้ล้างเท้าของท่านทั้งหลายๆ ควรจะล้างเท้าซึ่งกันและกัน. ด้วยว่าเราได้วางแบบอย่างให้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว, เพื่อให้ท่านทำเหมือนที่เราได้กระทำแก่ท่าน. ถ้าท่านทั้งหลายรู้สิ่งเหล่านั้นแล้ว และประพฤติตาม, ท่านก็จะเป็นสุข.
เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย, คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน. เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด, เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น.“
โยฮัน 13:1, 5, 8, 10, 14-15, 17, 34 TH1940 -
”พระเจ้าได้ทอดพระเนตรลงมาจากสวรรค์ดูมนุษย์ชาติ, ประสงค์จะเห็นว่ามีผู้ใดที่มีความเข้าใจ, คือผู้ที่แสวงหาพระเจ้า.
โอ, ขอให้ความรอดที่จะให้แก่พวกยิศราเอล, ได้ออกมาจากเมืองซีโอน! เมื่อครั้งพระเจ้าโปรดนำพลไพร่ของพระองค์ที่ได้ตกไปเป็นชะเลย, แล้วยาโคบจะชื่นชม, และพวกยิศราเอลจะยินดี“
บทเพลงสรรเสริญ 53:2, 6 -
”ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า, “เวลาที่บุตรมนุษย์จะรับสง่าราศีนั้นมาถึงแล้ว. เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว, แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว จะงอกขึ้นเกิดผลมาก. ผู้ที่รักชีวิตของตนจะเสียชีวิต, และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์. ถ้าผู้ใดจะปรนนิบัติเรา, ให้ผู้นั้นตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดปรนนิบัติเรา, พระบิดาของเราจะทรงโปรดประทานยศศักดิ์ให้แก่ผู้นั้น.
พระเยซูตรัสแก่เขาว่า, “ความสว่างจะอยู่กับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง. เมื่อยังมีความสว่างอยู่ จงเดินไปเถิด, เพื่อจะไปถึงก่อนมืด ผู้ที่เดินในความมืด ไม่รู้ว่าไปทางไหน. เมื่อท่านทั้งหลายยังมีความสว่างอยู่, จงวางใจในความสว่างนั้น, เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง.” เรามาเป็นความสว่างในโลก, เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะมิได้อยู่ในความมืด ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและมิได้เชื่อ, เราก็มิได้พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก, แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด. ถ้าผู้ใดไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา, ผู้นั้นมีสิ่งหนึ่งซึ่งจะพิพากษาเขาคือ คำที่เราได้กล่าวนั้นแหละจะพิพากษาเขาในวันที่สุด.“
โยฮัน 12:23-26, 35-36, 46-48 TH1940 -
”เจ้าคนเก่งกล้าเอ๋ย ทำไมจึงโอ้อวดในการชั่ว? ทำไมยังคงยโสโอหังอยู่ทุกวี่วัน? เจ้าผู้เป็นตัวอัปยศในสายพระเนตรของพระเจ้า ลิ้นของเจ้าวางแผนทำลายล้าง ดั่งมีดโกนคมกริบ เจ้าตวัดลิ้นตลบตะแลง (ทำให้เข้าใจผิด หรือทำให้หลงผิด) เจ้ารักความชั่วมากกว่าความดี และรักความเท็จยิ่งกว่าการพูดความจริง เสลาห์ เจ้ารักคำพูดให้ร้ายทุกคำ เจ้าคนร้อยลิ้นกะลาวน! แน่ทีเดียว พระเจ้าจะนำเจ้าสู่ความพินาศนิรันดร์ พระองค์จะทรงกระชากเจ้าออกจากเต็นท์ของเจ้า พระองค์จะทรงถอนรากถอนโคนเจ้าจากแดนผู้มีชีวิต เสลาห์“
สดุดี 52:1-5 TNCV -
หลังจากที่ยาโคบได้บอกเหตุที่จะบังเกิดแก่ลูกทั้งหลายในเวลาภายหน้าเสร็จแล้ว ก็ยกเท้าขึ้นบนที่นอน แล้วก็สิ้นชีพไป โยเซฟจึงสั่งให้พวกหมออาบยารักษาศพบิดาไว้ แล้วไว้ทุกข์ถึง 40 วัน และได้ขออนุญาตฟาโรห์ว่า บิดาได้ให้ตนสาบานตัวไว้ว่าจะฝังศพไว้ในอุโมงค์ ณแผ่นดินคะนาอัน จึงขออนุญาตไปฝังศพ แล้วจะกลับมา ฟาโรห์ก็ให้อนุญาต คราวนั้นนอกจากโยเซฟกับพวกพี่น้องและวงศ์ญาติ ยังมีมหาดเล็ก ข้าราชการผู้ใหญ่ บรรดาผู้หัวหน้าทั่วแผ่นดินก็ตามไปในขบวนแห่ศพด้วย เมื่อฝังเสร็จแล้วก็กลับมาประเทศอายคุดโต พี่ชายโยเซฟ เห็นว่าบิดาตายแล้ว น่ากลัวโยเซฟจะแก้แค้นพวกตน จึงใช้คนไปเรียนโยเซฟว่า บิดาก่อนสิ้นใจได้สั่งไว้ให้ท่านยกความผิดของพวกพี่ชายท่าน และพวกเขามากราบลงต่อหน้าโยเซฟโยเซฟจึงปลอบประโลมใจพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลยเราเป็นผู้แทนพระเจ้าหรือ พวกท่านได้คิดทำร้ายแก่เราจริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดี อย่างที่บังเกิดในวันนี้แล้ว คือช่วยชีวิตมนุษย์เป็นอันมากให้รอด อย่ากลัวเลย เราจะบำรุงเลี้ยงพวกท่านทั้งบุตรทั้งหลายด้วย”. โยเซฟมีอายุได้ 110 ปีก็ตาย และเมื่อจวนจะตายแล้วก็ให้พงศ์พันธ์ญอิสราเอลสาบานตัวบอกว่า พระเจ้าจะทรงเยี่ยมเยียนพวกท่าน แล้วท่านจะต้องขนกระดูกของเราออกไปจากเมืองนี้.
-
อยู่มาภายหลังมีคนมาบอกโยเซฟว่า บิดาของท่านป่วย โยเซฟก็พามะนาเซและเอฟรายิม บุตรทั้งสองของตนไปเพื่อให้ยาโคบอวยพร ยาโคบจึงพูดกับโยเซฟว่าบุตรทั้งสองของเจ้าที่เกิดในแผ่นดินอายคุปโต ก็เป็นบุตรของเราด้วย เมื่ออวยพร อิสราเอลได้เหยียดมือขวาวางบนศีรษะเอฟรายิมผู้น้อง และมือซ้ายวางไว้บนศีรษะมะนาเซ เหยียดมือออกไขว้กันตามที่เห็นสมควร โยเซฟเมื่อเห็นบิดาวางมือข้างขวาไว้บนศีรษะของน้อง ก็ไม่เห็นชอบ จึงบอกบิดาว่า อย่าทำเช่นนั้น บิดาก็ไม่ยอมจึงว่า ลูกเอ๋ย เรารู้แล้ว บุตรหัวปีจะมีวงศ์วานใหญ่ แต่ว่าน้องชายเป็นใหญ่กว่าพี่ และพงศ์พันธ์ของน้องจะเป็นหลายประเทศด้วยกัน และยังบอกโยเซฟว่า ตัวท่านกำลังจะตาย แต่พระเจ้าจะอยู่กับเจ้าทั้งหลาย จะพาเจ้าทั้งหลายกลับไปสู่แผ่นดินที่บรรพบุรุษเคยอยู่แต่ก่อน.
-
ครั้งนั้นโยเซฟไปทูลฟาโรห์ ขออนุญาตให้บิดาและพี่น้องของตนได้มาอาศัยอยู่ในเมืองโคเซน ฟาโรห์ทรงอนุญาต โดยให้โยเซฟเลือกแผ่นดินอันดีที่สุดให้บิดาและพี่น้องของท่านอาศัย อีกทั้งเห็นผู้ใดมีสติปัญญาฉลาด ก็ตั้งผู้นั้นให้เป็นหัวหน้ากองเลี้ยงสัตว์ของฟาโรห์. ยาโคบก็เข้าเฝ้าฟาโรห์และกล่าวคำอวยพรให้แก่ฟาโรห์เมื่อท่านมีอายุ 130 ปี. การกันดารอาหารยังทวีขึ้นมากนัก จนชาวบ้านหิวโหย อีกทั้งเงินในแผ่นดินก็หมด จึงมาพากันขายแรงงาน และที่ดินตนเองแลกอาหาร โยเซฟได้ซื้อที่ดินเหล่านั้นเป็นของหลวงจนหมด แต่โยเซฟให้พันธุ์เมล็ดพวกเขาไปปลูก เพื่อที่จะส่งให้หลวง 1/5 และที่เหลือ 4/5 เก็บไว้เป็นของตน สำหรับเป็นพันธุ์ข้าวบ้าง สำหรับเป็นอาหารแก่ครอบครัวรับประทาน คนทั้งปวงก็ตอบว่า ท่านได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดชีวิตแล้ว. อิสราเอลได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอายฆุบโต 17 ปี แล้วได้เรียกโยเซฟมาให้วางมือสาบานว่า จะไม่ฝังศพของตนไว้ที่ประเทศอายฆุบโต แต่จะนำศพไปฝังไว้ที่ฝังศพบิดาของท่าน โยเซฟก็สัญญาให้.
-
อิสราเอลก็ขนทรัพย์สิ่งของทั้งปวงยกไปถึงตำบลบะเอระซาบา ก็ถวายเครื่องเผาบูชาแก่พระเจ้าแห่งยิศฮาคบิดาของตน กลางคืนวันนั้นพระเจ้าตรัสกับยิศราเอลว่า “อย่าได้กลัวที่จะไปประเทศอายฆุบโตนั้นเลย เพราะเราจะบันดาลให้เจ้าเจริญขึ้นเป็นประเทศใหญ่ที่นั่น เราจะลงไปกับเจ้าถึงอายฆุบโต เราจะพาเจ้ากลับมาอีกด้วยเป็นแน่” ยาโคบจึงพาลูกหลานชายหญิงและพงษ์พันธ์ทั้งหมดของท่านไปประเทศอายฆุบโต ในคราวนั้นร่วมบุตรของโยเซฟที่เกิดในประเทศอายฆุบโต นับคนทั้งปวงในวงศ์ของยาโคบที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศอายฆุบโตได้ 70 คน. พวกยอิสราเอลได้ลงมาอยู่ที่เมืองโคเซ็น เนื่องจากว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นคนประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ และคนที่เลี้ยงสัตว์ในเวลานั้น เป็นที่เกลียดชังแก่ชาติอายฆุบโต.
-
โยเซฟไม่สามารถอดกลั้นต่อหน้าพี่น้องได้ต่อไป จึงเปิดเผยตัวให้พี่ชายรู้จัก และโยเซฟได้ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง จนชาติอายฆุบโตทั้งปวงในราชวังฟาโรห์ได้ยิน พวกพี่น้องของเขาตกใจกลัวต่อหน้าโยเซฟ แล้วไม่อาจตอบประการใด แต่โยเซฟได้ปลอบใจพี่ชายของเขาว่า อย่าโกรธตัวเองเพราะการที่ขายเรามา นี้เป็นด้วยพระเจ้าได้ทรงใช้เรามาข้างหน้าพวกท่าน เพื่อจะได้ช่วยชนทั้งหลายให้รอดชีวิต พระยะโฮวาทรงบันดาลให้เรามาก่อนท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้อุปถัมภ์วงศ์ตระกูลไว้ในแผ่นดิน และช่วยให้รอดชีวิต ด้วยความอุปการะอันใหญ่หลวง ไม่ใช่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ให้เรามา แต่พระเจ้าทรงบันดาลให้มา และพระองค์ได้โปรดให้ข้าพเจ้า เป็นผู้ครอบครองแผ่นดินอายฆุบโตทั้งสิ้น. การที่พี่ชายของโยเซฟมานนั้นก็ลือไปทั่วราชวังฟาโรห์ฟาโรห์กับข้าราชการก็พากันยินดีและสั่งว่าให้เอาของบรรทุกกลับไปยังแผ่นดินขนาดอันพระบิดาและครอบครัวมาหาเราเราจะประทานของดีในแผ่นดินให้เขาจะบำรุงเลี้ยงเขาให้อุดมบริบูรณ์ โยเซฟก็ส่งพี่ชายกลับไป พร้อมด้วยให้เสื้อผ้า เงินตรา ของฝากให้บิดา และเสบียงอาหารสำหรับรับประทานในกลางทาง พร้อมสั่งพวกเขาว่า จงระวังดีๆ อย่าได้วิวาทกันในกลางทาง เมื่อพวกพี่ชายกลับมาถึงบ้านที่เมืองคะนาอัน จึงบอกบิดาว่า โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ ได้ครองทั่วแผ่นดินอายฆุบโต แต่ ยาโคบยังไม่เชื่อ จนได้เห็นรถที่โยเซฟให้มารับตน ก็ชื่นใจขึ้นกล่าวว่า เราอิ่มใจแล้ว โยเซฟบุตรของเรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไปหาบุตรของเราก่อนตาย.
-
โยเซฟสั่งคนต้นเรือนให้เอาจอกเงินของตนใส่ไว้ในปากกระสอบของคนน้องสุดท้อง และเมื่อคนเหล่านั้นออกไปจากเมืองยังไม่สู้ไกล ก็สั่งให้คนต้นเรือนไปตามคนเหล่านั้น และถามเขาว่า พวกท่านได้กระทำเป็นการผิด ทำไมจึงขโมยจอกเงินของเจ้านายเรา พี่ชายทั้งหลาย จึงยอมให้ตรวจค้นเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ และกล่าวว่า ถ้าพบของอยู่ที่ผู้ใดให้ผู้นั้นตายเถิด และข้าพเจ้าทั้งหลายจะยอมเป็นบ่าวของเจ้านายด้วย คนต้นเรือนบอกว่า ให้เป็นไปตามนั้น ถ้าเราพบอยู่ที่ผู้ใด ผู้นั้นต้องเป็นบ่าวของเรา แต่คนที่เหลือจะหามีโทษไม่ เมื่อค้นดูตั้งแต่คนหัวปีจนถึงคนสุดท้อง ก็พบจอกเงินนั้นอยู่ในกระสอบของเบ็นยามิน เขาทั้งหลายก็พากันฉีกเสื้อผ้าแล้วเดินทางกลับไปยังบ้านของโยเซฟ ยูดากล่าวต่อโยเซฟว่า ”พวกข้าพเจ้าไม่สามารถกล่าวแก้ตัวอะไรได้ พระเจ้าทรงทราบความผิดของพวกข้าพเจ้า ดังนั้นพวกข้าพเจ้าทั้งหมดขอยอมตัวเป็นทาสของท่านกับทั้งคนที่จอกอยู่ในมือด้วย“ แม้โยเซฟจะไม่ถือโทษคนที่เหลือ แต่จะเอาคนที่มีจอกไว้เป็นทาสเท่านั้น แต่ยูดาเข้าไปใกล้โยเซฟแล้วกล่าวว่า ”ถ้ากลับไปโดยไม่มีบุตรคนนี้ บิดาผู้ชราต้องตายอย่างแน่นอน ด้วยชีวิตของบิดาติดเนื่องอยู่กับเด็กคนนี้ เหตุว่าข้าพเจ้ารับประกันน้องนี้ไว้ต่อบิดา ว่าถ้าข้าพเจ้าไม่ได้พาน้องกลับมา ข้าพเจ้าจะทนรับโทษกับบิดาต่อไปเป็นนิจ ดังนั้นขอให้ข้าพเจ้าอยู่แทนน้องนั้นเป็นบ่าวของท่าน โปรดให้น้องคนนี้กลับไปกับพวกพี่น้องเถิด เพราะถ้าน้องไม่ได้กลับไปด้วย ข้าพเจ้าจะกลับไปหาบิดาอย่างไรได้ กลัวเกลือกว่าจะเห็นอันตรายเกิดแก่บิดาข้าพเจ้า“
-
อยู่มาเมื่อเสบียงอาหารที่ซื้อมาหมดแล้ว บิดาจึงบอกแก่ลูกชายให้ไปซื้อมาอีก ยูดาตอบแกบิดาว่า ไปไม่ได้ ท่านผู้ใหญ่นั่นบัญชาเป็นเด็ดขาดว่า ถ้าไม่พาน้องชายมาด้วย จะไม่ได้เห็นหน้าเราอีก ขอท่านได้ให้เด็กนั้นไปกับฉันเพื่อจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตเป็นอยู่ ทั้งพวกฉัน และท่าน กับลูกอ่อนทั้งหลาย ข้าพเจ้ารับประกันเด็กนั้น ถ้าไม่พามาให้ท่านเห็นอีก ท่านจงลงโทษข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะสู้ทนรับโทษนั้นเป็นนิจ ฝ่ายอิสราเอลบิดาจึงยอม กล่าวว่า ขอพระเจ้าผู้ทรงเดชานุภาพ โปรดบันดาลให้ท่านผู้ใหญ่นั้นเมตตาแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายให้ปล่อยพี่ชายกับเบ็นยามินกลับมา แม้ว่าเราจะต้องพลัดพรากจากบุตรไปก็ตามเถิด. เมื่อโยเซฟเห็นเบ็นยามินมากับพี่ชาย จึงสั่งคนต้นเรือน ให้ฆ่าสัตว์ และจัดโต๊ะเพื่อจะรับประทานอาหารด้วยกันในเวลาเที่ยง พี่ชายเหล่านั้นกลัวเพราะคิดว่าโยเซฟจะจับตัวไว้เป็นทาส เนื่องจากครั้งก่อนมาซื้อข้าว มีเงินติดไปในกระสอบด้วย จึงพากันไปหาคนต้นเรือนเพื่อจะชี้แจง ฝ่ายคนต้นเรือนจึงตอบว่า จงเป็นสุขเถิด อย่าได้กลัวเลย พระเจ้าของท่านและของบิดาท่านบันดาลให้มีเงินในกระสอบ เงินของท่านนั้นเราได้รับแล้ว. เมื่อโยเซฟกลับมาบ้าน เห็นเบ็นยามินน้องชายมารดาเดียวกัน ก็สงสารน้องนัก จึงรีบออกไปร้องไห้อยู่ในห้องใน หลังจากแข็งใจกลั้นน้ำตาล้างหน้า จึงกลับออกมารับประทานอาหารด้วยกันกับพี่น้องของตน โดยส่งเครื่องรับประทานให้พี่ชายเหล่านั้นแต่ ของส่งให้เบ็นยามินนั้นมากกว่าพี่ชายห้าเท่า.
-
ยาโคบได้ยินว่ามีข้าวอยู่ในประเทศอายฆุบโต จึงใช้พี่ชายของโยเซฟ 10 คนให้ลงไปซื้อข้าวแต่เบ็นยามินน้องชายโยเซฟ ยาโคบไม่ให้ไปกับพี่ชาย ด้วยกลัวจะเกิดอันตราย เมื่อไปถึงที่นั่น โยเซฟจำพี่ชายได้ แต่พี่ชายจำโยเซฟไม่ได้ โยเซฟจึงกล่าวว่า จงทำดังนี้ก็จะได้มีชีวิต ด้วยเราเกรงกลัวพระเจ้า จงให้คนหนึ่งในพวกเจ้าอยู่กับเรา และให้เจ้าทั้งหลายนำข้าวกลับไปให้คนที่บ้าน และพาน้องสุดท้องมาให้เราที่นี่ เพื่อเราจะรู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ไม่ได้เป็นคนสอดแนม โยเซฟจึงบัญชาสั่งให้บ่าว ใส่ข้าวในกระสอบให้เต็ม และนำเงินที่นำมาซื้อข้าวนั้น ใส่ไว้ในกระสอบทุกคนด้วย และให้เสบียงอาหารไปกินกลางทาง ฝ่ายบิดาเมื่อได้ยินจึงรู้สึกขัดใจและว่า พวกเจ้าทำให้เราพลัดพรากจากลูกของเรา โยเซฟก็ตายแล้ว ซีโมนก็ต้องพรากไปเจ้า จะเอาเบ็นยามินไปเสียอีกหรือ รูเบนบอกบิดาว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่พาเบ็นยามินมาให้ท่านอีก ท่านจงเอาบุตรชายทั้งสองคนของข้าพเจ้าฆ่าเสีย บิดาบอกว่า เราไม่ยอมให้เบ็นยามินไปกับเจ้า ถ้าเกิดอันตรายแก่ลูกเรา เจ้าจะพาผมหงอกของเราลงสู่หลุมฝังศพด้วยความทุกข์
-
อยู่มาได้สองปี กษัตริย์ฟาโรห์ฝันถึงสองครั้ง ครั้นรุ่งเช้า พระองค์มีพระทัยโศกเศร้า รับสั่งให้หาคนมีปัญญาและโหรทั้งประเทศมาเฝ้า และเล่าฝันนั้นให้เค้าฟัง แต่ไม่มีผู้ใดจะแก้ฝันนั้นได้ เจ้าพนักงานน้ำองุ่นจึงระลึกถึงโยเซฟ จึงกราบทูลต่อฟาโรว่า ชายผู้นี้สามารถแก้ฝันให้ข้าพเจ้า แล้วอยู่มาก็เป็นไปตามคำแก้ของชายนั้นทุกประการ ฟาโรห์รับสั่งให้หาโยเซฟมา แล้วได้ตรัสว่า เราได้ยินว่าเจ้าเข้าใจแก้ฝันได้ โยเซฟจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะแก้ฝันเองไม่ได้ พระเจ้าจะทรงโปรดแก้ เพื่อให้กษัตริย์คลายวิตก ฟาโรห์จึงเล่านิมิตให้โยเซฟฟัง และโยเซฟจึงแก้ฝันพร้อมวิธีรับมือให้ โยเซฟกล่าวว่า ที่กษัตริย์ทรงฝันเห็นสองครั้งนั้น เพราะพระเจ้าจะทรงให้บังเกิดแน่นอน และในเร็วๆนี้ด้วย เหตุฉะนั้นให้หาคนที่มีความคิดดี ตั้งไว้ให้ดูแลทั่วแผ่นดิน ให้จัดเก็บผลไว้ส่วนหนึ่งในห้าส่วนทั่วแผ่นดินตลอดเจ็ดปีที่บริบูรณ์ เพื่อจะได้มีเสบียงเลี้ยงแผ่นดินในระหว่างเจ็ดปีที่เกิดกันดารอาหาร ฟาโรห์จึงว่า เราจะหาคนที่มีพระวิญญาณพระเจ้าอยู่ในตัว เหมือนคนนี้ได้หรือ ท่านจึงได้ตั้งให้โยเซฟเป็นใหญ่ในราชวัง และให้พลไพร่ทั้งปวงอยู่ในบังคับบัญชาของท่าน โยเซฟมีบุตรสองคน ชื่อมะนาเซ และเอ็ฟรายิม ครั้งเจ็ดปีที่บริบูรณ์ล่วงไป ก็เกิดกันดารอาหารเจ็ดปีเหมือนโยเซฟได้ทำนายไว้ การกันดารนั้นเกิดทั่วแผ่นดินต่างๆ เว้นแต่ในแผ่นดินอายฆุบโตยังมีอาหารอยู่
-
เจ้าพนักงานน้ำองุ่นและเจ้าพนักงานเครื่องเสวยของกษัตริย์ฟาโรห์ ได้ทำผิดต่อกษัตริย์ฟาโรห์ก็กริ้ว จึงรับสั่งให้จำไว้ในคุกของผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ที่โยเซฟติดอยู่นั้น ผู้บัญชาการทหารได้สั่งให้โยเซฟดูแลเจ้าหน้าที่สองคนนั้น โยเซฟก็ได้ปฏิบัติตาม เจ้าพนักงานทั้งสองคนนั้นได้ฝันเห็นในคืนวันเดียวกัน ครั้นเวลาเช้า โยเซฟได้ไปหา เห็นมีหน้าโศกเศร้า จึงสอบถามและกล่าวว่า “อันจะแก้ฝันนั้น เป็นการของพระเจ้าไม่ใช่หรือ ขอท่านเล่าให้ข้าฟังเถิด” เจ้าพนักงานน้ำองุ่นก็เล่าความฝันและโยเซฟก็ได้แก้ฝันนั้นให้ และกล่าวว่า เมื่อท่านมีความสุขแล้ว ขอให้ระลึกถึงและแสดงความเมตตาปรานีแก่ข้าพเจ้า ช่วยทูลกษัตริย์ฟาโรห์ ให้ข้าพเจ้าได้ออกจากคุกมืดนี้ แล้วเจ้าหน้าที่เครื่องเสวยก็ได้เล่าให้โยเซฟฟังด้วย โยเซฟก็ได้แก้ฝันให้ ครั้นถึงวันที่สาม เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็ได้ถูกปล่อยตัว และแต่ละคน ก็ได้เป็นไปตามคำแก้ฝันของโยเซฟทุกประการ ฝ่ายเจ้าหน้าที่น้ำองุ่นนั้นก็ลืมโยเซฟเสีย มิได้ระลึกถึงเลย.
-
โยเซฟถูกขายเป็นทาสให้กับโพติฟาซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แห่งกษัตริย์ฟาโรห์ พระยะโฮวาได้สถิตอยู่กับโยเซฟ และนายก็เห็นว่า พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่กับโยเซฟ ด้วยพระองค์ทรงบันดาลให้การงานที่กระทำ เจริญขึ้นมากในมือของโยเซฟ และพระยะโฮวาก็ได้อวยพระพรให้แก่ครอบครัวของคนชาติอายฆุบโตเพราะโยเซฟนั้น ทั้งได้อวยพระพรให้สิ่งของทั้งปวงในเรือนและในนาเจริญขึ้น คราวนั้นภรรยาของโพติฟาพยายามชวนโยเซฟให้มานอนด้วยกัน แต่โยเซฟได้ปฏิเสธและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะทำผิดดังนี้อย่างไรได้ เป็นบาปใหญ่หลวงนักต่อพระเจ้า” ภรรยาของโพติฟา พยายามเหนี่ยวรั้งโยเซฟไว้แต่โยเซฟก็สลัดเสื้อผ้าไว้ในมือของนางหนีไปข้างนอก นางจึงไปเท็จทูลกับโพติฟา ว่าโยเซฟพยายามจะทำหยาบคายแก่ตน นายนั้นก็โกรธ จึงจับโยเซฟไปจำไว้ในคุกหลวง แต่ว่าพระยะ โฮวาทรงสถิตอยู่ด้วย ได้ทรงบันดาลให้ผู้คุมเมตตาปราณีกับโยเซฟ และได้มอบคนนักโทษทั้งปวงไว้ในมือโยเซฟให้เขาดูแล นายผู้คุมคุกก็ไม่ต้องดูแลการงานใดๆ เพราะพระยะโฮวาอยู่ด้วยโยเซฟ และบันดาลให้การงานที่กระทำนั้นเจริญขึ้น
-
ประวัติของโยเซฟ อิสราเอลบิดาได้รักโยเซฟมากกว่าบุตรทั้งหลาย พี่ชายเห็นว่าบิดารักโยเซฟมาก ก็พากันชังโยเซฟ หาผู้ดีต่อโยเซฟไม่ โยเซฟได้นิมิตฝันว่าฟ่อนข้าวของตัวเองตั้งขึ้นยืนอยู่ แต่ฟ่อนข้าวของพี่ชายมาแวดล้อมกราบไหว้ และนิมิตฝันอีกครั้งหนึ่งว่า เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว 11 ดวงได้กราบไหว้ตัวเอง พี่ชายก็อิจฉาโยเซฟ ส่วนบิดานิ่งตรองอยู่ในใจ ฝ่ายพี่ชายหาเหตุคิดปองร้ายจะฆ่าโยเซฟ แต่สุดท้าย ขายให้แก่พวกอิสราเอล แล้วทำหลักฐานว่าโยเซฟถูกสัตว์ร้ายกัดกิน ฝ่ายโยเซฟถูกขายไว้กับขุนนางผู้หนึ่งชื่อโพติฟา ณ. เมืองอายฆุบโต
- Mostrar más