Episodi
-
Episodi mancanti?
-
เรียนอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็ทำญาณเห็นจิตให้เหมือนตาเห็นรูป ญาณแปลว่าปัญญา เราจะเห็นจิตใจของตัวเองด้วยปัญญา เหมือนที่ตาเห็นรูป ตาเห็นรูปเป็นอย่างไร มีตา มีรูป มีแสงสว่างมากพอ จะจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม ตาก็มองเห็นถ้าตาไม่บอด คือมีอะไรเกิดขึ้นในจิตใจเรา จิตใจเราเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องไปแต่งมัน ไม่ต้องไปดัดแปลงมัน รู้ซื่อๆ เข้าไปเลย ใจเรามีราคะก็รู้ ใจไม่มีราคะก็รู้ ใจมีโทสะก็รู้ ไม่มีโทสะก็รู้ ใจมีโมหะก็รู้ ไม่มีโมหะก็รู้ ใจฟุ้งซ่านก็รู้ ใจหดหู่ก็รู้ รู้ไปเรื่อยๆ ใจสงบก็รู้ ใจได้อุปจารสมาธิก็รู้ ใจเป็นมหรคตก็รู้ ใจเป็นอัปปนาสมาธิก็รู้ รู้ไปเรื่อยๆ รู้เท่าที่มันเป็น ไม่ต้องแสวงหา เหมือนกับเรานั่งหลับตาอยู่ พอลืมตาขึ้นมาเห็นรูป เราไม่ได้เลือกว่าจะเป็นรูปอะไร รูปนั้นจะดีหรือรูปจะไม่ดี ไม่สำคัญ เวลาเราดูจิตก็ดูเหมือนที่ตาเห็นรูปนั่นล่ะ คือมีอะไรปรากฏขึ้นที่จิตก็รู้ไปอย่างที่มันเป็น ท่านมีคำหนึ่งว่า จงทำญาณเห็นจิต เห็นไหม ให้เห็นด้วยญาณ ญาณคือปัญญาๆ ปัญญาเห็นอะไร เห็นไตรลักษณ์ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 มิถุนายน 2568
-
หลักสูตรที่จะทำให้เรามีสติและมีปัญญา คือการเจริญสติปัฏฐาน เจริญสติปัฏฐานคือ มีสติรู้กายในกายตามความเป็นจริง มีสติรู้เวทนาในเวทนา รู้จิตในจิต รู้ธรรมในธรรม ตามที่มันเป็น คำว่า “กายในกาย” “เวทนาในเวทนา” “จิตในจิต” “ธรรมในธรรม” เป็นศัพท์เฉพาะ มีความหมายเฉพาะ คำว่า “กายในกาย” หมายถึงว่าเราเรียนกายบางแง่บางมุม ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราจะเข้าใจกายทั้งหมด “เวทนาในเวทนา” เราเรียนเวทนาบางแง่บางมุม ถ้าเข้าใจแล้วก็เข้าใจเวทนาทั้งหมด “จิตในจิต” เราเรียนจิตบางอย่าง ไม่ต้องเรียนจิตทั้งหมดตั้งเป็นร้อยๆ ดวง ไม่ต้องไปเรียนหมด เราเรียนจิตบางอย่าง ถ้าเรารู้จิตอย่างนั้นแจ่มแจ้ง เราจะรู้จิตทั้งหมด หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 31 พฤษภาคม 2568
-
พวกเราส่วนใหญ่ยุคนี้ไม่ค่อยมีลูกแล้ว ฉะนั้นเวลาต่อไปข้างหน้าไม่มีใครทำบุญให้เรา เวลาตายจะไม่มีใครเขาทำบุญให้เราหรอก ฉะนั้นเราต้องรีบทำของเราไว้เอง เอาไว้อาศัยหลังความตาย บางคนมันงี่เง่ามันคิดว่าชีวิตหลังความตายไม่มี ก็ไม่มีหูไม่มีตาเอง พอภาวนาไปให้ดีๆ มันมองออก สังสารวัฏนี้ยาวไกล ไม่ใช่สิ้นสุดลง ไม่ใช่เริ่มต้นตอนที่เกิด ไม่ใช่สิ้นสุดตอนที่ตาย ความเกิดความตายนั้นก็เป็นแค่ฉากหนึ่งในสังสารวัฏ เดี๋ยวก็เปลี่ยนฉากไปทีหนึ่ง เปลี่ยนฉากไปทีหนึ่ง ความดีมีโอกาสทำให้รีบทำเสีย ความชั่วถึงมีโอกาสทำก็อย่าทำ แล้วเราจะมีความสุขในปัจจุบัน ลำบากขึ้นมาอะไรนี่ คนก็มาช่วยเหลือ เทวดาก็มาช่วยเหลือ บางทีเราก็รู้ว่าวันนี้ควรจะทำอะไรๆ บางทีมันก็รู้ขึ้นมา มีความสุขในปัจจุบัน อย่างเราหัดภาวนาไปทีแรกฝืนใจ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทำสมถะก็มีความสุข ทำวิปัสสนาก็มีความสุข ทำไปเรื่อยๆ มีความสุขแล้วมันขยัน ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ทำไป ชีวิตก็มีความสุขตั้งแต่ปัจจุบัน เพราะการทำความดีถ้าเราทำ ใจมันมีความสุขทันทีเลย มีความสุขในอนาคต ตายไปก็ไปดี มีสุคติเป็นที่ไป มีความสุขอย่างยิ่งก็คือ เข้าใกล้มรรคผลนิพพานไปตามลำดับ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 พฤษภาคม 2568
-
อดทนนิดหนึ่ง ทำวันหนึ่ง 3 ชั่วโมง จะแบ่งเป็นช่วงๆ ก็ได้ ตอนเช้าชั่วโมงหนึ่ง ตอนกลางวันครึ่งชั่วโมง ตอนก่อนนอนสักชั่วโมงครึ่ง เก็บๆๆ รวมให้ได้สัก 3 ชั่วโมงทำไป วิธีทำก็อย่างที่บอก ทำกรรมฐานที่เราถนัด จิตหลงไปที่อื่น รู้ทัน จิตถลำไปเพ่งกรรมฐาน รู้ทัน อย่างดูท้อง จิตไปอยู่ที่ท้อง รู้ทัน รู้ทันจิต ทำกรรมฐานไปแล้วรู้ทันจิตไป เรียกว่าอธิจิตตสิกขา สิ่งที่เราจะได้ก็คือสัมมาสมาธิ พอสติระลึกรู้ จิตมันเคลื่อนไปทางไหน สติรู้ทันปั๊บ ความที่ไหลไปมันก็จะดับ จิตก็จะตั้งมั่น พอตั้งมั่นถี่ๆๆๆ มันจะตั้งได้แข็งแรงขึ้น มันจะเหมือนจิตเราตั้งมั่นอยู่ทั้งวันเลย โดยที่ไม่ได้เจตนา จิตที่ตั้งมั่นตัวนี้ เป็นจิตที่มีสติกำกับ รู้เนื้อรู้ตัว ผ่องใส นุ่มนวล อ่อนโยน คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่ขี้เกียจ ไม่เซื่องซึม แล้วก็ไม่เข้าไปแทรกแซงการรู้อารมณ์ เรามีจิตที่ทรงคุณภาพสูงแบบนี้แล้ว เราไปเดินปัญญาได้ ถ้าจิตของเราถูกต้อง การเจริญปัญญาจะใช้เวลาไม่มากหรอก แต่ถ้าจิตเรายังไม่ถูก บอกว่าเจริญปัญญาๆ 10 ปี 20 ปี ใช้เวลานาน บางทียังไม่ได้เรื่องเลย ฉะนั้นตัวที่แตกหักก็คือจิตเรามีคุณภาพหรือเปล่า ที่เราฝึกกรรมฐานบอกวันละ 3 ชั่วโมง เพื่อพัฒนาจิตใจของเราให้ตั้งมั่น ให้มีคุณภาพ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 24 พฤษภาคม 2568
-
ต้องภาวนากันแทบเป็นแทบตายเลยกว่าจะเห็น ไม่ใช่นั่งท่องๆ แล้ว โอ้ เข้าใจปฏิจจสมุปบาท เข้าใจแบบนั้นสู้กิเลสไม่ได้หรอก มันไม่เห็นกระบวนการ หรืออวิชชาเป็นอย่างไร อวิชชามีตั้ง 8 ตัวจะรู้อย่างไรในขณะจิตเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเราต้องค่อยๆ ทำไป เบื้องต้นฝึกให้จิตตั้งมั่น ด้วยการรู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา เรารู้ทันได้ถ้าเราฝึกทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งทุกวัน ทุกวันต้องทำ แรกๆ หัดใหม่ๆ หลวงพ่อบอกวันละ 15 นาที ตอนนี้เพิ่มแล้ว ถ้ายังมีขาอยู่ ยังเดินได้ ไปเดินให้ได้วันละ 3 ชั่วโมง 3 ชั่วโมงเดินทีเดียวไม่ไหว แบ่งก็ได้ เช้าชั่วโมงหนึ่ง กลางคืน 2 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้ ถ้าพวกเรามีเวลาว่างเมื่อไรก็ถลุงมัน ให้มันวอดวายหายไปเฉยๆ น่าเสียดาย โดยเฉพาะเอาเวลาไปใช้พัฒนากิเลส ตามใจกิเลสไปเรื่อยๆ กิเลสมันก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ พัฒนาสติ พัฒนาสมาธิ ปัญญาของเราไปสิ จิตใจเราก็จะแข็งแรงขึ้น กุศลมันจะแข็งแรงขึ้น แล้วสุดท้ายเราก็ละบาปอกุศลได้ เจริญกุศลถึงพร้อมได้ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา เราก็จะข้ามโลกได้ ข้ามโลกได้เข้าสู่โลกุตตระได้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช บ้านจิตสบาย 18 พฤษภาคม 2568
-
คนที่ตั้งใจสู้ ส่วนหนึ่งยังสู้ไม่ไหว แล้วคนที่ไม่ตั้งใจสู้ อย่างมาบวชเป็นอาชีพอันหนึ่ง ไม่มีอะไรทำ มาบวชคือไม่ได้มุ่งอยากได้พระนิพพาน พวกนี้ไม่คิดสู้ โอกาสแพ้ก็สูง หลวงพ่อก็เคยเจอพระ แรกๆ ก็อยากนิพพาน หลังๆ รู้สึกยากไปก็เลยไม่เอา สะเปะสะปะไปวันๆ หนึ่ง พลาดเข้าวันไหนก็อยู่ไม่ได้ ดูกิเลสของเราเอง กิเลสผุดขึ้นกลางอกเรา ผุดทั้งวัน เหมือนน้ำผุด เคยเห็นน้ำผุดไหม น้ำมันผุดๆๆ ขึ้นมา ไม่ต่างกันเท่าไร มันผุดอยู่ตลอดวัน ถ้าเราไม่รู้ไม่เห็นว่ากิเลสมันผุดขึ้นมา เราไม่เห็น ก็ครอบงำจิตใจเราได้ กระทบเข้ามาถึงจิตใจ พอจิตใจเราเศร้าหมอง ถูกกิเลสครอบงำ ความคิดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส คำพูดของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส การกระทำของเราก็เป็นไปตามอำนาจกิเลส มันเสียหมด เสียตั้งแต่จิตของเรา พอจิตเราถูกกิเลสครอบงำ คำพูดของเรา การกระทำของเรา ก็พลอยเสียไปหมด ฉะนั้นคอยรู้เท่าทันกิเลสในใจของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 17 พฤษภาคม 2568
-
พยายามฝึก แล้วเราจะไม่กระเพื่อมไปตามโลก ได้ผลประโยชน์มา ก็ไม่หลงยินดี บางทีเสีย เสียหายก็ไม่ได้เสียใจ อย่างร่างกายเราเจ็บป่วย ก็ไม่ได้เสียใจ ร่างกายมันเป็นสมบัติของโลก ได้มาก็เอาไปใช้ทำประโยชน์ ก็เหมือนทรัพย์สินเงินทอง มันเป็นสมบัติของโลก ได้มาเราก็ไปทำประโยชน์ เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว ส่วนเกินก็ช่วยสังคม ชีวิตเราก็จะสบาย ใจมันไม่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลง มีความสุขมันก็ไม่หลงระเริง มีความทุกข์มันก็ไม่เสียอกเสียใจ แต่ฝึกดีแล้ว ความสุขในใจเรานี้ท่วมท้น แต่ความทุกข์มันอยู่ในร่างกาย ความทุกข์มาไม่ถึงใจ ที่ความทุกข์มาไม่ถึงใจ เพราะเราเข้าใจความจริงของโลก เราไม่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงตามโลก ใจมันก็พ้นจากโลก ศัพท์เฉพาะก็คือคำว่า “เหนือโลก” คือ “โลกุตตระ” เพราะเรารู้จักโลก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 พฤษภาคม 2568
- Mostra di più