Folgen
-
“พระองค์ได้ทรงนำเถาองุ่นออกมาจากประเทศอายฆุบโต: ได้ทรงขับไล่ชนต่างประเทศไปเสีย, แล้วทรงปลูกเถาองุ่นนั้นไว้. พระองค์ได้ทรงปราบที่ตรงหน้าเถาองุ่นนั้น, และเถานั้นก็ลงรากลึกแผ่ไปจนเต็มทั่วแผ่นดิน. ร่มเถาองุ่นนั้นได้ปกคลุมภูเขาไว้, และกิ่งก็เหมือนต้นสนอันสูงงดงาม.
ข้าแต่พระเจ้าแห่งพลโยธา, ข้าพเจ้าขอวิงวอนพระองค์, ขอพระองค์ทรงกลับพระทัย: ทอดพระเนตรจากสวรรค์พิจารณาดู, และโปรดเสด็จมาเยี่ยมเยียนเถาองุ่นนี้, ขอป้องกันเถาซึ่งพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ได้ทรงปลูกไว้, และขอทรงบำรุงเลี้ยงให้มีกำลังมากไว้สำหรับพระองค์.
ขอทรงโปรดให้พระหัตถ์ของพระองค์อยู่ฝ่ายบุรุษที่อยู่ข้างพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์, คืออยู่ฝ่ายบุตรมนุษย์นั้นที่พระองค์ได้ทรงบำรุงให้มีกำลังมากไว้สำหรับพระองค์. เพื่อพวกข้าพเจ้าจะไม่ถอยไปจากพระองค์: ขอทรงโปรดให้พวกข้าพเจ้าตื่นฟื้น(คืนชีพ) ขึ้น, พวกข้าพเจ้าจึงจะได้ร้องทูลออกพระนามของพระองค์. ข้าแต่พระยะโฮวาพระเจ้าแห่งพลโยธา, ขอทรงโปรด (ฟื้นฟู) ให้พวกข้าพเจ้ากลับคืนอีก; ขอให้พระพักตรของพระองค์ส่องแสงออกมา, พวกข้าพเจ้าจึงจะได้รอด”
บทเพลงสรรเสริญ 80:8-10, 14-15, 17-19
-
“ขออย่าทรงถือโทษพวกข้าพเจ้าเมื่อทรงระลึกถึงการอสัตย์อธรรมของบรรพบุรุษนั้น; ขอให้พระกรุณาอันอ่อนละมุนของพระองค์มาประสพพวกข้าพเจ้าโดยเร็วเถิด; เพราะพวกข้าพเจ้าเสื่อมถอยน้อยลงไปมากแล้ว. ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นเหตุแห่งความรอด, ขอทรงโปรดช่วยข้าพเจ้า, เพราะเห็นแก่พระเกียรติยศแห่งพระนามของพระองค์; ทรงโปรดช่วยพวกข้าพเจ้าให้รอด, และลบล้างความผิดเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์.
ฝ่ายพวกข้าพเจ้าผู้เป็นพลไพร่ประดุจสัตว์เลี้ยงของพระองค์จะสนองพระเดชพระคุณเป็นนิตย์: จะกล่าวสรรเสริญพระองค์ทุกชั่วอายุต่อๆ ไป”
บทเพลงสรรเสริญ 79:8-9, 13 TH1940
-
Fehlende Folgen?
-
วิวรณ์ 6-7, 12, 14:1-5
-
“ขณะนั้นพระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซว่า, “จงไปหาฟาโรบอกว่า, ‘ยะโฮวา, พระเจ้าของชาติเฮ็บรายนั้น, ตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราไป, เพื่อเขาจะได้ปรนนิบัติเรา. ถ้าท่านยังยึดเหนี่ยวเขาไว้ไม่ยอมปล่อยให้ไป, นี่แหละ หัตถ์ของยะโฮวาจะกระทำแก่ฝูงสัตว์ในทุ่งนา, ฝูงม้า, ฝูงลา, ฝูงอูฐ, ฝูงโคและฝูงแกะเป็นต้นให้เกิดเป็นโรคภัยอย่างร้ายขึ้น. ยะโฮวาจะแยกฝูงสัตว์ของชาติยิศราเอลจากฝูงสัตว์ของชาติอายฆุบโต; สัตว์ของชาติยิศราเอลจะไม่ตายเลยสักตัวเดียว.’ ” พระยะโฮวานี้ทรงกำหนดเวลาไว้ว่า, “พรุ่งนี้เราจะให้เหตุการณ์บังเกิดขึ้น ณ แผ่นดิน.” เมื่อรุ่งขึ้นพระยะโฮวาก็ได้ทรงกระทำดังนั้น; ฝูงสัตว์ทุกอย่างของชาติอายฆุบโตก็ตาย; แต่สัตว์ของชาติยิศราเอลไม่ตายสักตัวเดียว. พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซและอาโรนว่า, “เจ้าจงกำมูลเถ้าออกจากเตาสองกำมือ, แล้วให้โมเซซัดขึ้นไปบนอากาศต่อหน้าของฟาโร. มูลเถ้านั้นจะกลายเป็นผงคลีดินทั่วประเทศอายฆุบโต, ทำให้เกิดเป็นฝีแตกลามทั้งกายมนุษย์และสัตว์เดียรฉานตลอดประเทศ.” พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงตื่นแต่เช้า, ไปยืนต่อหน้าฟาโร, บอกว่า, ‘ยะโฮวาพระเจ้าของชาติเฮ็บรายตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราไปเพื่อให้ปรนนิบัติเรา. ด้วยว่าคราวนี้เราจะบันดาลให้เกิดสรรพโรคร้ายแก่ท่าน, และข้าราชการ, และแก่พลเมือง; เพื่อฟาโรจะได้รู้แน่ว่าทั่วโลกไม่มีผู้ใดจะเปรียบเสมอกับเราได้ น่าที่เราจะได้ยกหัตถ์ขึ้นประหารฟาโรและพลไพร่ด้วยโรคภัยให้ตายไปจากโลกเสียนานแล้ว; แต่เหตุที่เรายังให้ฟาโรดำรงชีวิตอยู่ ก็เพื่อจะให้ฟาโรเห็นฤทธานุภาพของเรา, และเพื่อนามของเราจะได้ลือกระฉ่อนไปทั่วโลก. ฟาโรยังจะมีมานะต่อสู้พลไพร่ของเรา, ไม่ยอมปล่อยเขาไปอีกหรือ? นี่แหละจงดูเถิด, พรุ่งนี้ประมาณเวลานี้เราจะบันดาลให้ลูกเห็บตกมาทรมาน, อย่างที่ไม่เคยเห็นมีในประเทศอายฆุบโตตั้งแต่แรกเป็นประเทศมาจนถึงทุกวันนี้. เหตุฉะนั้นจงไปต้อนฝูงสัตว์และคนทั้งหลายที่อยู่ในทุ่งนาให้รีบเข้ามา; เพราะคนทุกคนและสัตว์ทุกตัวที่อยู่ในทุ่งนาที่มิได้เข้ามาอยู่ในบ้าน, ลูกเห็บจะตกถูกตายหมด.’ ” ฝ่ายข้าราชการของกษัตริย์ฟาโรทุกคนที่ได้เกรงกลัวพระดำรัสของพระยะโฮวา, ก็ให้บ่าวรีบออกไปไล่สัตว์ของตนกลับเข้าบ้าน: และผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระดำรัสของพระยะโฮวาก็ปล่อยให้บ่าวไพร่และสัตว์ของตนอยู่ที่ทุ่งนา พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงชูมือขึ้นในอากาศ, เพื่อจะได้ให้ลูกเห็บตกทั่วประเทศอายฆุบโต, บนมนุษย์, บนสัตว์, และบนผักหญ้าทุกอย่างซึ่งอยู่ในทุ่งนา, ตลอดในประเทศนั้น.” โมเซก็ชูไม้เท้าขึ้นในอากาศ: แล้วพระยะโฮวาได้ทรงบันดาลให้มีฟ้าร้อง, มีลูกเห็บและไฟฟ้าตกลงมาบนพื้นดิน; กับได้บันดาลให้ลูกเห็บตกทั่วประเทศอายฆุบโต. ลูกเห็บกับไฟฟ้าตกลงมาพร้อมกัน, เป็นที่ทรมานยิ่งนัก; การเช่นนี้ไม่เคยมีในประเทศอายฆุบโตแต่แรกตั้งเป็นประเทศมา. สิ่งสารพัตรที่อยู่ในทุ่งนาทั่วอาณาเขตต์ประเทศอายฆุบโตลูกเห็บก็ได้ทำลายเสียสิ้น; ทั้งมนุษย์และสัตว์, กับต้นผักและต้นไม้ทุกอย่างก็หักโค่นล้มลง. เว้นไว้แต่เมืองโฆเซ็น, ที่ชาติยิศราเอลอยู่นั้น, หามีลูกเห็บไม่ กษัตริย์ฟาโรจึงรับสั่งให้โมเซและอาโรนมาเฝ้า, แล้วว่า, “ในครั้งนี้เราก็ได้ผิดแล้ว: พระยะโฮวาเป็นผู้ซื่อตรง, แต่เรากับพลเมืองของเราได้ทำผิด. ขอท่านได้วิงวอนขอแด่พระยะโฮวา; เนื่องด้วยมีฟ้าร้องและลูกเห็บพอทำให้เราเข็ดแล้ว; เราจะปล่อยท่านทั้งหลายไม่กักไว้อีกต่อไป. โมเซทูลว่า, “เมื่อข้าพเจ้าออกไปจากกรุงนี้แล้ว, ข้าพเจ้าจะยกมือทั้งสองทูลพระยะโฮวา: เสียงฟ้าร้องก็จะเงียบและจะไม่มีลูกเห็บตกอีกต่อไป; เพื่อท่านจะได้ทราบว่าโลกนี้เป็นของพระยะโฮวา. เมื่อกษัตริย์ฟาโรทราบว่าฝนกับลูกเห็บและฟ้าร้องนั้นหยุดไปแล้ว, ท่านกลับทำผิดต่อไปอีกและพระทัยก็แข็งกะด้างไป, ทั้งท่านและข้าราชการของท่านด้วย.”
เอ็กโซโด 9:1-6, 8-9, 13-29, 34 TH1940
-
“พระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซว่า, “เราจะนำมหาภัยมายังกษัตริย์ฟาโรและประเทศอายฆุบโตอีกอย่างหนึ่ง; ภายหลังท่านจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่: เมื่อท่านให้พวกเจ้าไปคราวนี้, ท่านจะขับไล่พวกเจ้าออกไปทีเดียว. บัดนี้เจ้าจงสั่งพลไพร่ชายหญิงทั้งปวงให้ขอเครื่องเงินและเครื่องทองคำมาจากเพื่อนบ้านของตน.” พระยะโฮวาก็ทรงบันดาลให้ชาวอายฆุบโตเอื้อเฟื้อต่อพลไพร่นั้น. ส่วนโมเซยิ่งเป็นที่นับถือมากในประเทศอายฆุบโต, คือต่อหน้าข้าราชการและพลไพร่ทั้งปวง โมเซได้ประกาศว่า, “พระยะโฮวาตรัสดังนี้ว่า, ‘เวลาประมาณเที่ยงคืนเราจะออกไปท่ามกลางประเทศอายฆุบโต; และบุตรหัวปีทั้งหมดในประเทศอายฆุบโต, ตั้งแต่ราชบุตรหัวปีของกษัตริย์ฟาโรผู้ประทับบนพระที่นั่ง, จนถึงบุตรหัวปีของทาสีซึ่งโม่แป้ง, ทั้งลูกหัวปีของสัตว์เดียรฉานด้วยจะตาย. ในคราวนั้นจะบังเกิดการพิลาปร้องไห้ทั่วประเทศอายฆุบโต, อย่างที่มิได้เคยมีแต่ก่อน, และต่อไปภายหน้าก็จะไม่มีอะไรอีกเลย.’ ฝ่ายข้างชนชาติยิศราเอลนั้นจะไม่มีเหตุที่น่าวิตกแก่คนหรือแก่สัตว์พาหนะแม้แต่เสียงสุนัขหอน: เพื่อจะเป็นที่แสดงให้ทราบว่า, พระยะโฮวาทรงจัดการในระหว่างชาติอายฆุบโตกับชาติยิศราเอลให้ผิดกันอย่างไร. พระยะโฮวาตรัสแก่โมเซว่า, “ฟาโรจะไม่เชื่อฟังเจ้า; เพื่อการอัศจรรย์ของเราจะได้เพิ่มขึ้นอีกในประเทศอายฆุบโต.””
เอ็กโซโด 11:1-7, 9 TH1940
-
“พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงเข้าไปหาฟาโรอีก: เพราะเราได้ให้ใจของฟาโรและใจของข้าราชการแข็งกะด้างไป, เพื่อจะแสดงการณ์สำคัญ; ของเราในท่ามกลางเขา, เพื่อเจ้าจะได้เล่าการณ์สำคัญที่เราได้กระทำ ณ ประเทศอายฆุบโตให้ลูกหลานฟัง, คือการณ์สำคัญซึ่งเราได้สำแดงท่ามกลางเขานั้น; เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวา.” โมเซและอาโรนจึงได้เข้าไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรทูลว่า, “พระยะโฮวา, พระเจ้าแห่งชาติเฮ็บราย, ได้ตรัสดังนี้ว่า, ‘ฟาโรจะขัดขืนไม่ยอมอ่อนน้อมต่อเรานานไปสักเท่าใด? จงปล่อยพลไพร่ของเราให้ไปปรนิบัติเรา. ถ้าแม้ยังไม่ยอมปล่อยให้พลไพร่ของเราไป, พรุ่งนี้เราจะให้ตั๊กแตนเข้ามาทั่วอาณาเขตต์: ฝ่ายข้าราชการได้ทูลกษัตริย์ฟาโรว่า, “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเรานานไปสักเท่าไร? ขอทรงพระกรุณาโปรดปล่อย คนเหล่านั้นให้ไปปรนนิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าของเขาเถิด: พระองค์ยังไม่ทรงทราบอีกหรือว่าประเทศอายฆุบโตพินาศเสียแล้ว?” กษัตริย์ฟาโรจึงรับสั่งให้โมเซและอาโรนเข้ามาเฝ้าอีก: จึงตรัสว่า, “จงไปปรนนิบัติพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า; แต่จะเอาใครไปบ้าง?” โมเซทูลว่า, “ข้าพเจ้าจะต้องพากันไปทั้งคนหนุ่มคนแก่; บุตรชายกับบุตรหญิง, และฝูงสัตว์ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก, เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายต้องทำการเลี้ยงประกอบพิธีนมัสการแด่พระยะโฮวา.” กษัตริย์ฟาโรจึงตรัสแก่เขาทั้งสองว่า, “ถ้าแม้จะให้เรายอมให้เจ้ากับบุตรไปด้วยกัน, ก็ให้พระยะโฮวาเข้าข้างพวกเจ้าเถิด: ระวังตัวให้ดีเถอะ, เจ้ากำลังมุ่งไปในทางทุจจริตเสียแล้ว, อนุญาตไม่ได้: พาฉะเพาะแต่ผู้ชายไปปรนนิบัติพระยะโฮวา, ตามที่เจ้าได้ขอไว้นั้นแหละได้.” แล้วโมเซกับอาโรนก็ถูกขับไล่ให้ออกไปเสียจากพระพักตรฟาโร ครั้งนั้นกษัตริย์ฟาโรได้รีบมีรับสั่งให้หาโมเซและอาโรนเข้าเฝ้า; จึงตรัสว่า, “เราได้ทำผิดต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, และต่อเจ้าทั้งสองด้วย. ขอเจ้าจงยกโทษความผิดให้เราครั้งนี้อีกครั้งเดียว; จงวิงวอนขอพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, เพื่ออย่างน้อยพระองค์จะได้ทรงโปรดบันดาลให้ภัยพิบัตินี้พ้นไปจากเรา.” ฝ่ายพระยะโฮวาทรงบันดาลให้ลมกล้าพัดกลับมาแต่ทิศตะวันตก, หอบฝูงตั๊กแตนไปตกในทะเลแดง, จนไม่มีเหลือสักตัวเดียวตลอดอาณาเขตต์อายฆุบโต. แต่พระยะโฮวาได้ทรงให้พระทัยของกษัตริย์ฟาโรแข็งกะด้างไปอีก, ไม่ยอมปล่อยชาติยิศราเอลไป พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “จงชูมือของเจ้าขึ้น, จะเกิดมีความมืดทึบทั่วประเทศอายฆุบโต.” โมเซจึงชูมือขึ้น, แล้วก็เกิดมีความมืดทึบทั่วไปในประเทศอายฆุบโตตลอดสามวัน; เขามิได้เห็นซึ่งกันและกัน, ไม่มีใครลุกขึ้นไปจากที่ตลอดสามวัน: ฝ่ายบรรดาชนชาติยิศราเอลนั้นมีแสงสว่างอยู่ในบ้านเรือนของเขา. กษัตริย์ฟาโรจึงมีรับสั่งให้หาโมเซเข้ามาตรัสว่า, “พวกเจ้าจงไปปรนนิบัติพระยะโฮวาพร้อมทั้งบุตรทั้งหลายของเจ้าได้; เว้นแต่ให้ละฝูงสัตว์ทั้งใหญ่ทั้งเล็กไว้.” ฝ่ายโมเซจึงทูลว่า, “ต้องโปรดประทานให้มีเครื่องบูชายัญและบูชาเพลิงติดมือไปด้วย; เพื่อข้าพเจ้าจะได้บูชาแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย. ฝูงสัตว์ของข้าพเจ้านั้นต้องนำไปด้วย; ไม่ให้ขาดสักกีบเดียว; เพราะว่าจะต้องเลือกสัตว์จากฝูงเหล่านั้นบูชายัญแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้า; ข้าพเจ้ายังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ใดบูชายัญแด่พระองค์, กว่าจะไปถึงที่นั่นแล้ว.” แต่พระยะโฮวาได้ทรงให้พระทัยกษัตริย์ฟาโรแข็งกะด้างไม่ยอมปล่อยเขาไป. กษัตริย์ฟาโรได้รับสั่งแก่โมเซว่า, “ไปให้พ้น, จงระวังตัวให้ดีเถอะ, อย่าได้มาเห็นหน้าของเราอีกเลย; เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราในวันใด, เจ้าก็จะต้องตายในวันนั้น.” โมเซจึงทูลว่า, “ท่านได้ตรัสถูกแล้ว; ข้าพเจ้าจะไม่มาเห็นพระพักตรของพระองค์อีกเลย.””
เอ็กโซโด 10:1-4, 7-11, 16-17, 19-29 TH1940
-
“พระยะโฮวาจึงได้ตรัสแก่โมเซว่า, “จงไปหาฟาโรบอกว่า, ‘พระยะโฮวาได้ตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราให้ไปปรนนิบัติเรา. ถ้าแม้ไม่ยอม, เราจะบันดาลให้ฝูงกบขึ้นมาทั่วตลอดอาณาเขตต์ของท่าน: ครั้งนั้นกษัตริย์ฟาโรทรงเรียกโมเซกับอาโรนมาว่า, “เจ้าทั้งสองจงกราบทูลวิงวอนขอพระยะโฮวาให้ฝูงกบไปเสียจากเรา, และพลเมืองของเรา; แล้วเราจะยอมปล่อยบ่าวไพร่นั้นให้ไปบูชายัญแก่พระยะโฮวา.” เมื่อกษัตริย์ฟาโรทรงทราบว่าทุกข์ร้ายบรรเทาลงแล้วพระทัยก็กลับแข็งกระด้างไปอีก, ไม่ยอมเชื่อฟังโมเซและอาโรน; ตรงกับคำที่พระยะโฮวาตรัสไว้แล้วนั้น พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “ในเวลารุ่งเช้าจงลุกขึ้นยืนต่อหน้าฟาโร; ฟาโรจะมายังแม่น้ำ; แล้วจงบอกว่า, ‘พระยะโฮวาตรัสดังนี้ว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราให้ไปปรนนิบัติเรา ถ้าแม้ไม่ปล่อยพลไพร่ของเราไป, เราจะบันดาลให้ฝูงเหลือบตอมพระกายของท่าน, ตอมข้าราชการ, และพลเมืองด้วย: ฝูงเหลือบจะเข้าไปในราชสำนัก, และในเรือนของชาวอายฆุบโต, และตามพื้นดินที่เขาอยู่นั้นจะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ. ในเวลานั้นเราจะแยกเมืองโฆเซ็น, ที่พลไพร่ของเราอาศัยอยู่นั้นออก, มิให้ฝูงเหลือบนั้นอยู่ที่นั่น; เพื่อท่านจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวาสถิตอยู่ในท่ามกลางแผ่นดินโลก. ฝ่ายกษัตริย์ฟาโรได้ทรงเรียกโมเซและอาโรนมารับสั่งว่า, “จงไปบูชายัญแด่พระเจ้าของเจ้าในเขตต์ประเทศนี้.” กษัตริย์ฟาโรจึงรับสั่งว่า, “เราจะปล่อยพวกเจ้าไปเพื่อจะได้บูชายัญแด่พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าในป่า; แต่ว่าพวกเจ้าอย่าไปให้ไกลนัก: จงอธิษฐานพระเจ้าเผื่อเราด้วย.” ฝ่ายกษัตริย์ฟาโรก็ได้มีพระทัยแข็งกะด้างในคราวนี้อีกด้วย, มิได้ทรงยอมปล่อยบ่าวไพร่นั้นไป”
เอ็กโซโด 8:1-2, 8, 15, 20-22, 25, 28, 32 TH1940
-
“พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “นี่แหละ, เราได้ตั้งเจ้าไว้เป็นผู้แทนพระเจ้าต่อฟาโร, และได้ตั้งอาโรนพี่ชายของเจ้าเป็นผู้กล่าวคำพยากรณ์แทนเจ้า. เจ้าจะประกาศข้อความทั้งหมดซึ่งเราสั่งแก่เจ้า; แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะบอกแก่ฟาโรให้ปล่อยชนชาติยิศราเอลออกไปจากประเทศของท่าน. เราจะให้ใจของฟาโรแข็งกะด้างไป, แล้วจะทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของเราให้ทวีมากขึ้นในประเทศอายฆุบโต. แต่ฟาโรคงจะไม่เชื่อฟังเจ้า, แล้วเราจึงจะเหยียดหัตถ์ของเราเหนือประเทศอายฆุบโต, และจะพาหมู่กองพลไพร่ของเรา, คือชนชาติยิศราเอล, ให้พ้นจากประเทศนั้นด้วยการปรับโทษอันใหญ่หลวง. และจงกล่าวแก่ท่านว่า, ‘พระยะโฮวา, พระเจ้าของชาติเฮ็บราย, ตรัสสั่งให้ข้าพเจ้ามาบอกว่า, “จงปล่อยพลไพร่ของเราไป, เพื่อเขาจะปรนนิบัติเราในป่า:” นี่แหละ, จนป่านนี้ท่านก็มิได้เชื่อฟัง.”
เอ็กโซโด 7:1-4, 16 TH1940
-
“และพระยะโฮวาได้ตรัสแก่โมเซว่า, “บัดนี้เจ้าจะเห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่กษัตริย์ฟาโร: คือฟาโรจะปล่อยพลไพร่ไปด้วยถูกหัตถ์อันทรงฤทธิ์บังคับ, และท่านจะไล่พลไพร่นั้นออกจากประเทศด้วยอำนาจแห่งหัตถ์ของท่านเอง.” พระเจ้าตรัสแก่โมเซอีกว่า, “เราคือยะโฮวา; เราได้ปรากฏแก่อับราฮาม, ยิศฮาคและยาโคบ, ด้วยนามว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ส่วนนามยะโฮวานั้น, เรามิได้สำแดงให้เขารู้จักว่าเป็นนามของเราเอง. เราได้ตั้งคำสัญญาไมตรีของเราไว้กับเขาทั้งหลายแล้วว่า, เราจะยกแผ่นดินคะนาอัน, ซึ่งเป็นแผ่นดินที่เขาอาศัยอยู่เป็นแขกเมืองคราวก่อน, ให้แก่เขา. อนึ่งเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชนชาติยิศราเอล, ซึ่งชาติอายฆุบโตกักไว้ให้เป็นทาส, และเราได้ระลึกถึงคำสัญญาไมตรีของเราแล้ว. เหตุฉะนี้จงกล่าวแก่ชาติยิศราเอลนั้นว่า, เราคือยะโฮวา, เราจะนำหน้าเจ้าทั้งหลายให้ออกจากการเกณฑ์ของชนชาติอายฆุบโต. และจะให้พ้นจากการเป็นทาสของเขา, และเราจะให้เจ้ารอดด้วยกรที่เหยียดออก, และด้วยการปรับโทษอันใหญ่หลวง: เราจะรับเจ้าทั้งหลายเป็นพลไพร่, และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า; และเจ้าทั้งหลายจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, ผู้นำหน้าเจ้าออกจากงานหนักซึ่งชาติอายฆุบโตเกณฑ์ให้ทำนั้น. เราคือยะโฮวา: จะนำพวกเจ้าให้ไปถึงแผ่นดินซึ่งเราได้ปฏิญาณไว้แก่อับราฮาม, ยิศฮาคและยาโคบว่า, จะยกแผ่นดินนั้นให้แก่พวกเจ้าเป็นมฤดก.””
เอ็กโซโด 6:1-8 TH1940
-
“ดูกรพลไพร่ของเรา, จงเอียงหูฟังบทบัญญัติของเรา; จงเอียงหูของท่านทั้งหลายฟังถ้อยคำจากปากของเรา. ข้อความเหล่านั้นพวกเราจะไม่ซ่อนไว้จากลูกหลานของเรา, จะประกาศเรื่องถวายความสรรเสริญพระยะโฮวาให้แก่คนในชั่วอายุสืบไปฟัง, ทั้งพลานุภาพ, และการอัศจรรย์ของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำนั้น. เพราะพระองค์ได้ทรงตั้งคำปฏิญาณไว้แก่พวกยาโคบ, และทรงตั้งข้อบัญญัติให้แก่พวกยิศราเอล, ซึ่งพระองค์ได้ตรัสสั่งไว้แก่บรรพบุรุษของเรา ให้บอกเล่าแก่ลูกหลานของเขาต่อๆ ไป. เพื่อคนในยุคหลังและลูกหลานของเราด้วยจะได้รู้, และเมื่อเขาโตขึ้นแล้วจะได้บอกเล่าให้ลูกหลานของเขาฟังต่อๆ ไป, เพื่อจะไว้วางใจในพระเจ้า, และไม่ลืมกิจการของพระองค์, แต่จะรักษาบัญญัติของพระองค์. และจะไม่ได้เป็นเช่นบรรพบุรษของเขา. คือดื้อด้านและกบฏ, เป็นชาติที่ไม่ปลงใจให้ซื่อตรง, จิตต์ใจของเขาหาได้ตั้งให้แน่วแน่ต่อพระเจ้าไม่.”
บทเพลงสรรเสริญ 78:1, 4-8 TH1940
-
กฏหมายของเครื่องบูชาเผาครบ (6:8-13)
1. เครื่องเผาบูชา (สิ้นสุดตนเอง) จะต้องวางอยู่บนเตาไฟบนแท่นบูชาตลอดคืนจนถึงเช้า (พระคริสต์เสด็จกลับมา)
2. มีไฟของพระเจ้า (พระวิญญาณ) อยู่บนแท่นเสมอ
3. ปุโรหิตใส่ฟืนที่แท่นเวลาเช้าทุกวัน (ไม่เกียจคร้าน แต่ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยวิญญาณที่กระตือรือร้น)
4. ปุโรหิตสวมเสื้อผ้าป่านและกางเกง (สวมใส่พระคริสต์ปกปิดกายเปลือยเปล่าน่าอาย)
5. เอาเถ้า (สิ้นสุดตัวตน) ออกไปข้างนอกที่พัก ใส่ไว้ในที่สะอาดด้านทิศตะวันออก (การเริ่มต้นการงานของพระเจ้า)
6. เผามันสัตว์ของเครื่องบูชาสันติไมตรีที่นั่นด้วย (รับสุขการสามัคคีธรรมกับพระเจ้า)
-
“ในเวลาวันนั้นกษัตริย์ฟาโรจึงมีรับสั่งแก่นายงานและนายกองผู้เกณฑ์บ่าวไพร่ว่า, “ตั้งแต่วันนี้ไป, เจ้าทั้งหลายอย่าให้ฟางแก่บ่าวไพร่สำหรับใช้ทำอิฐเหมือนแต่ก่อน: แต่ให้เขาไปเที่ยวหาฟางเอง. และจำนวนอิฐซึ่งเกณฑ์ให้ทำแต่ก่อนเท่าไร, จงเกณฑ์เท่านั้น; อย่าได้ลดหย่อนเลย: เพราะว่าเขาเกียจคร้าน; เหตุฉะนี้จึงพากันร้องว่า, ขอให้พวกข้าพเจ้าไปประกอบพิธีบูชาแก่พระเจ้าของข้าพเจ้า.’ จงจัดงานหนักกว่าแต่ก่อนให้เขาทำ: อย่าได้ฟังคำอุบายของเขาเลย.”
แต่กษัตริย์ฟาโรตรัสว่า, “เจ้าทั้งหลายเป็นคนเกียจคร้าน, เป็นคนเกียจคร้านจริงๆ; เหตุฉะนั้นพวกเจ้าจึงมาร้องว่า, ‘ขอให้ข้าพเจ้าไปทำการบูชายัญแด่พระยะโฮวา.’ เหตุฉะนั้น, เจ้าจงไปทำงานเดี๋ยวนี้: ฟางนั้นจะไม่ให้พวกเจ้าเลย: แต่จำนวนอิฐที่เกณฑ์ไว้นั้นพวกเจ้าจงทำให้ครบจำนวน.””
เอ็กโซโด 5:6-9, 17-18 TH1940
-
“โมเซจึงทูลพระยะโฮวาว่า, “ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพเจ้ามิใช่คนช่างพูด; ในกาลก่อนก็ดี, หรือตั้งแต่เวลาพระองค์ตรัสแก่ทาสของพระองค์แล้วก็ดี, ข้าพเจ้าเป็นคนพูดไม่คล่องแคล่ว.” พระยะโฮวาจึงตรัสแก่โมเซว่า, “ผู้ใดสร้างปากมนุษย์, หรือกระทำให้คนเป็นใบ้, คนหูหนวก, คนตาดีหรือตาบอด? เรายะโฮวาเป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ? จงไปเถิด: เราจะอยู่ที่ปากของเจ้า, และจะสอนเจ้าให้พูดคำซึ่งควรจะพูด.” เจ้าจงทูลกษัตริย์ฟาโรว่า, ‘พระยะโฮวาได้ตรัสดังนี้ว่า, “ชนชาติยิศราเอลนั้นเป็นบุตรหัวปีของเรา; และเราบอกแก่เจ้าว่า. ‘จงปล่อยบุตรของเราให้ไปปรนนิบัติเรา: ถ้าแม้เจ้าไม่ยอมให้เขาไป, จงดูเถิด. เราจะประหารชีวิตบุตรหัวปีของเจ้าเสีย.’ ””
เอ็กโซโด 4:10-12, 22-23 TH1940
-
“พระยะโฮวาจึงตรัสว่า, “แท้จริงเราได้เห็นความทุกข์ของพวกพลไพร่ของเราที่อยู่ประเทศอายฆุบโต; เราได้ยินเสียงร้องของเขาเพราะการกระทำของนายงานนั้น; เรารู้ถึงความทุกข์โศกของเขา. เราลงมาเพื่อจะได้ช่วยให้เขารอดจากชาติอายฆุบโต, และนำเขาออกจากประเทศนั้นไปยังแผ่นดินที่ดี, กว้างขวาง, บริบูรณ์ด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง: ซึ่งเป็นที่อยู่ของชาติคะนาอัน, ชาติเฮธ, ชาติอะโมรี, ชาติพะริซี, ชาติฮีวี, และชาติยะบูศ. บัดนี้จงดูเถิด, คำร้องทุกข์ของชนชาติยิศราเอลมาถึงเราแล้ว; ทั้งเราได้เห็นการข่มเหงซึ่งชนชาติอายฆุบโตได้ทำแก่เขา. เหตุฉะนี้จงมาเถิด, เราจะใช้เจ้าไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโร, เพื่อเจ้าจะได้พาชาติยิศราเอลพลไพร่ของเราออกจากประเทศอายฆุบโต.” ฝ่ายโมเซจึงทูลพระเจ้าว่า, “ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะไปทูลกษัตริย์ฟาโร, และนำชนชาติยิศราเอลออกจากประเทศอายฆุบโต?” พระองค์จึงตรัสว่า, “แท้จริงเราจะอยู่กับเจ้า; นี่เป็นหมายสำคัญให้เจ้ารู้แน่ว่าเราได้ใช้ให้เจ้าไป: คือเมื่อเจ้านำพลไพร่ออกจากประเทศอายฆุบโตแล้ว, เจ้าทั้งหลายจะได้ปรนนิบัติพระเจ้าบนภูเขานี้.” เขาจะเชื่อถ้อยฟังคำของเจ้า, และเจ้ากับผู้เฒ่าของชาติยิศราเอลจงพากันไปเฝ้ากษัตริย์ของประเทศอายฆุบโตทูลว่า, ‘ยะโฮวาพระเจ้าของชนชาติเฮ็บรายได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย: บัดนี้ขอได้โปรดให้ข้าพเจ้าไปในป่ากันดารสักสามวัน, เพื่อจะบูชายัญแก่พระยะโฮวาพระเจ้าของข้าพเจ้า. เรารู้แล้วว่ากษัตริย์ประเทศอายฆุบโตจะไม่ยอมให้เจ้าทั้งหลายไป, เว้นแต่จะถูกบังคับด้วยหัตถ์อันทรงฤทธิ์.”
เอ็กโซโด 3:7-12, 18-19 TH1940
-
“ครั้นล่วงมาช้านาน, กษัตริย์อายฆุบโตก็สิ้นพระชนม์: ชาติยิศราเอลก็เศร้าสะท้อนใจมาก, เพราะเหตุที่เป็นทาส, เขาจึงร้องไห้คร่ำครวญจนเสียงนั้นได้ขึ้นไปถึงพระเจ้า, ด้วยเหตุที่เป็นทาสนั้น. พระเจ้าได้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของเขา, จึงทรงระลึกถึงคำสัญญาที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้กับอับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบ. พระเจ้าได้ทรงทอดพระเนตรดูชาติยิศราเอล, แล้วทรงทราบถึงความเป็นไปของเขา”
เอ็กโซโด 2:23-25 TH1940
-
“กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นเสวยราชสมบัติในประเทศอายฆุบโต, พระองค์นั้นมิได้ทรงรู้จักลูกหลานโยเซฟเลย. ‘จึงทรงประกาศแก่ประชาชนว่า, “นี่แหละ, ชาติยิศราเอลก็มีมาก, และมีกำลังยิ่งกว่าเราอีก: ให้เราพิเคราะห์ดู, ใช้อุบายอันแยบคายกระทำแก่พวกนี้, เกลือกว่าเขาจะทวีมากขึ้น, ถ้าเกิดสงครามขึ้นเมื่อใด, ชนชาตินี้จะเข้าสมทบกับพวกข้าศึก, สู้รบกับเรา, แล้วจะยกไปใหพ้นอาณาจักร.” ชาติอายฆุบโตได้กะเกณฑ์ชนชาติยิศราเอลให้ทำการหนักยิ่งขึ้น; ได้กระทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตของตนเพราะการหนักที่เขาทำ, เช่นทำปูนทำอิฐและทำการต่างๆ ที่ทุ่งนาจนเหลือกำลัง”
เอ็กโซโด 1:8-10, 13-14 TH1940
-
“ข้าพเจ้าจะประกาศกิจการของพระยะโฮวา; เพราะข้าพเจ้าจะระลึกถึงการอัศจรรย์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา. ข้าพเจ้าจะใคร่ครวญดูบรรดากิจการของพระองค์ด้วย, และจะรำพึงถึงกิจการที่พระองค์ได้ทรงกระทำนั้น. ข้าแต่พระเจ้า, ทางของพระองค์เป็นทางบริสุทธิ์: ใครเป็นพระใหญ่ยิ่งเหมือนพระเจ้าเล่า? พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์: พระองค์ได้ทรงสำแดงพลานุภาพของพระองค์ให้ปรากฏแจ้งในท่ามกลางชนนานาประเทศ.”
บทเพลงสรรเสริญ 77:11-14 TH1940
-
“พี่น้องทั้งหลาย, บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนสติท่านทั้งหลายว่า, จงพิเคราะห์ดูคนเหล่านั้นที่ก่อเหตุวิวาทกันและขัดเคืองกัน ซึ่งเป็นการผิดจากคำสอนซึ่งท่านทั้งหลายได้เรียนไว้แล้วนั้น จงเมินหน้าจากคนเหล่านั้น. เพราะว่าคนอย่างนั้นหาได้ปฏิบัติพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่, แต่ได้ปรนนิบัติท้องของตัวเอง และได้ล่อลวงคนซื่อให้หลงด้วยคำดีคำอ่อนหวานของตน”
โรม 16:17-18 TH1940
-
“พระองค์, คือพระองค์ผู้เดียว, เป็นที่พึงกลัว; และขณะเมื่อพระองค์ทรงพิโรธผู้ใดอาจยืนตรงพระพักตรพระองค์ได้? พระองค์รับสั่งให้คำพิพากษาดังมาจากสวรรค์; แผ่นดินโลกจึงได้กลัว, และเงียบกริบอยู่. ขณะเมื่อพระเจ้าเสด็จมาพิพากษา, เพื่อจะทรงช่วยบรรดาคนที่มีใจอ่อนสุภาพ (ถูกกดขี่) ในโลกนี้ให้รอด.”
บทเพลงสรรเสริญ 76:7-9
- Mehr anzeigen