Folgen

  • 27 ก.ค. 67 - ธรรมที่เหมาะกับชีวิตประจำวัน : "การทำนั่นทำนี่ ก็คือ การทำกิจการงานต่าง ๆ รวมทั้งการเสพการบริโภคด้วย เจอนั่นเจอนี่ ก็หมายถึงว่า เจอรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ธัมมารมณ์ที่เกิดขึ้น เจอเหตุการณ์ที่เป็นบวกเรียกว่าโลกธรรมฝ่ายบวกหรืออิฏฐารมณ์ เจอเหตุการณ์ฝ่ายลบเรียกว่าอนิฏฐารมณ์หรือว่าโลกธรรมฝ่ายลบ ไม่ว่าเจออะไร ก็เห็นหรือรู้ใจที่คิดนึก รวมถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ดีใจ เสียใจ เพลิดเพลิน หงุดหงิด มันทำให้ใจเราเป็นอิสระจากสิ่งกระทบต่าง ๆ ได้ แล้วทำให้สติเจริญงอกงามด้วย

    คนส่วนใหญ่นี้ การที่จะมีสติเห็นกายเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึกตลอดทั้งวัน อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อยถ้าเกิดว่าเลือกว่าวัน ๆ หนึ่ง เราทำอะไรที่ทำประจำ เริ่มจากเอามาสัก 4-5 อย่าง และตั้งใจหรือกำหนดลงไปว่าเมื่อเราทำ เราจะรู้กายเคลื่อนไหว เมื่อใจคิดนึกเราก็รู้ทัน อย่างเช่นอาจจะเลือกว่า อาบน้ำ ถูฟัน แต่งตัว กินข้าว ล้างจาน รวม 5 อย่างนี้เราตั้งใจจะมีสติรู้ตัว เวลามือล้างจานก็รู้กาย เวลาใจเผลอออกจากการล้างจาน ไปคิดนึกเรื่องโน้นเรื่องนี้ก็รู้ทัน หรือว่าเวลาอาบน้ำ ก็รู้ว่ากายกำลังทำอะไร ในขณะที่ลูบตัวขณะอาบน้ำ หรือว่าเมื่อใจเกิดความสดชื่นเบิกบาน ก็รู้ อันนี้ก็เรียกว่า รู้กายเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึก ฉะนั้นถ้าหากว่าเราลองเลือกสัก 5 อย่างนี้ให้มีสติ ก็อาจจะเรียกได้ว่าเราได้ธรรม 3 ประการคือ อินทรียสังวร โภชเนมัตตัญญุตา และชาคริยานุโยคได้ ก็คือมีสติกับการรับรู้สิ่งต่าง ๆ มีสติกับการเสพ มีสติกับการทำงาน เรียกว่าปฏิบัติธรรมนี้ได้ทั้งวันหรือทุกวัน"
  • 26 ก.ค. 67 - ไม่มีอะไรที่เป็นเราหรือของเรา : ถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่เราจะยึดมั่นเป็นเรา เป็นของเราได้เลย ไม่ว่าจะเป็นลาภสักการะ ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือแม้กระทั่งร่างกายนี้ ก็ไม่อาจยึดได้ว่าเป็นเรา เป็นของเราได้ ความที่ท่านเข้าใจ หรือเข้าถึงสัจธรรมความจริงนี้แหละ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ท่านเปี่ยมด้วยคุณธรรมมากมายหลายประการ ที่เราทุกท่านเมื่อได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกประทับใจ​ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราระลึกนึกถึงท่านแม่ชีสุขี ก็อย่าพึงนึกถึงแต่เพียงแค่บุญที่ท่านบำเพ็ญ แต่ให้นึกถึงธรรมที่ท่านได้ปฏิบัติด้วย

    ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงบุญ จนบางทีลืมธรรมะไป เพราะเราคิดว่าถ้าเราได้บุญเยอะๆ เราก็จะได้โชคได้ลาภ มีอายุยืน มีสุขภาพดี เพราะเราเชื่อว่า บุญนั้นย่อมอำนวยให้เกิดอายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งปฏิภาณธนสารสมบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา จึงอยากได้บุญกันมากๆ จนกระทั่งจำนวนไม่น้อย ลืมธรรมะไป
  • Fehlende Folgen?

    Hier klicken, um den Feed zu aktualisieren.

  • 24 ก.ค. 67 - ทุกอารมณ์มีประโยชน์ ถ้ารู้จักใช้ : "อารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความกลัวก็ดี ความโกรธก็ดี ความเจ็บความปวดก็ดี หรือแม้กระทั่งความโลภ ไม่ใช่ว่าจะก่อทุกข์ได้อย่างเดียว ก็สามารถจะเป็นประโยชน์ถ้าเรารู้จักใช้ แม้กระทั่งความทุกข์ ไม่มีใครชอบ แต่ว่าก็สามารถทำให้เราพ้นทุกข์ได้

    พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลหลายท่านทุกข์มาก แต่เพราะความทุกข์ที่ทำให้ท่านเห็นว่า สังสารวัฏเต็มไปด้วยทุกข์ ท่านพบว่าอะไรก็ตามไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เลย เพราะมันเป็นทุกข์ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้น การพ้นทุกข์ก็เกิดขึ้นได้ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านเขียนไว้ก่อนมรณภาพว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” ทุกข์ก็มีประโยชน์ ถ้าเราเห็นมัน ถ้าเราเข้าใจมัน ที่มันเป็นโทษเพราะเราเข้าไปเป็นมัน หรือว่าหลงอยู่ในทุกข์ ไปยึดในทุกข์เอาไว้ ไม่รู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ ก็เลยจมอยู่ในความทุกข์มากขึ้น ฉะนั้น เวลาเราเจออารมณ์อะไรก็ตาม แม้กระทั่งความคิดฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้น อย่าไปคิดแต่จะกำจัดมัน ลองมองดูให้ดี มันมีประโยชน์ รวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บ และความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราด้วย มีประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักใช้มัน
  • 23 ก.ค. 67 - อย่ามาวัดเพียงเพื่อหาความสงบ : ลองนึกดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราที่วัด ถ้าเรายังทำใจไม่ได้ ยังร้อนรุ่มวุ่นวาย ถึงเวลาที่เราเจอความเจ็บป่วยชนิดที่หนีไม่พ้น มันตามติด มันเกิดกับร่างกายเราตลอด 24 ชั่วโมง เต็มไปด้วยความติดขัด เต็มไปด้วยความไม่สะดวกสบาย เราจะรับมือกับมันได้อย่างไร ถ้าเรามัวแต่คิดว่าจะหนีปัญหา และคิดว่าปัญหาจะทำให้สงบได้

    ถึงเวลาเจอความเจ็บป่วย ถึงเวลาเจอความสูญเสียพลัดพราก ชนิดที่เราไม่สามารถจะควบคุมบงการได้ แล้วเราจะอยู่อย่างไร เราจะรับมือกับมันอย่างไร ฉะนั้นการที่เรามาฝึกตนเพื่อ สามารถความสงบให้เกิดขึ้นกับใจได้ แม้ว่าสิ่งรอบตัวจะไม่ราบรื่น หรือแม้จะมีความคิดอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้นในใจ แต่ก็ไม่ปล่อยให้มันเข้ามาควบคุมครอบงำจิตใจได้ นี้เป็นวิชาสำคัญในการที่เราจะรับมือกับความทุกข์ในวันข้างหน้าที่จะเกิดขึ้นกับเรา ความเจ็บป่วย ความพรากสูญเสีย สูญเสียของรัก สูญเสียคนรัก พวกนี้ถ้าไม่เจอเมื่อวานนี้หรือวันนี้ วันหน้าก็ต้องเจอ หากว่ายังไม่เจอ มันก็จะดีกว่า ถ้าเราจะใช้โอกาสที่ปลอดจากปัญหานี้มาฝึก ไม่ใช่มาหวังเสพความสงบ หรือหวังหาความสบาย แต่มาเพื่อฝึกฝนตน เจอปัญหาต่างๆ ก็ไม่บ่น เอามาเป็นเครื่องฝึกฝน แม้กระทั่งความไม่สงบ หรือความคิดที่มันผุดขึ้นมาในใจก็สามารถรับมือกับมันได้ ไม่ใช่ว่าจะบังคับให้มันหายฟุ้งหรือหยุดคิด ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตรงนี้ก่อนนะเราถึงจะมีวิชาที่รับมือกับความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสในวันหน้าได้
  • 22 ก.ค. 67 - อย่าจมในทุกข์ อย่าเพลินในสุข : "ความสุขเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา ตรงข้ามกับความทุกข์ซึ่งไม่มีใครต้องการ ในเมื่อความทุกข์เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ เราจึงควรเกี่ยวข้องกับมันอย่างถูกต้อง หาไม่แล้วเราก็จะลงเอยด้วยการซ้ำเติมตนเอง อันที่จริงแม้กระทั่งความสุข เราก็ควรปฏิบัติให้ถูกต้องด้วย หาไม่ความสุขก็จะกลายเป็นโทษ ใช่หรือไม่ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับผู้คนทั้งหลายล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมาก่อน

    ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของหลายคน พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้ปฏิเสธความสุข แท้จริงทรงแนะนำว่าเราไม่ควรละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม แต่ก็อย่าหลงใหลมัวเมาหรือยึดติดความสุขเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะมันไม่เที่ยง ไม่จิรังยั่งยืน ส่วนความทุกข์ ในเมื่อเราไม่ชอบ ก็อย่าเอาทุกข์มาทับถมตน แทนที่จะจมอยู่ในความทุกข์หรือ “เป็น”ทุกข์ ก็ควรรู้จักมันหรือ “เห็น”มัน ด้วยการวางใจอย่างถูกต้อง ความสุขหรือความทุกข์ย่อมไม่อาจครอบงำจิตใจเราจนเรากลายเป็นทาสของมัน"
  • 21 ก.ค. 67 - ตั้งใจมั่นทำดีในพรรษานี้ : เอาแค่เรามีสติรู้สึกตัว เวลาเข้าห้องน้ำ แม้เพียงนิดเดียว จากเล็กจนแก่ มันเกิดความเปลี่ยนแปลงมากเลยทีเดียว เพราะว่าตลอดชีวิตเราเข้าห้องน้ำรวมแล้ว 7 ปี เข้าห้องน้ำไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การถ่ายหนัก ถ่ายเบา การแต่งตัว ตลอดชีวิต ถ้าเราอายุถึง 75 ปี เราจะอยู่ในห้องน้ำรวมทั้งหมดทั้งชีวิต 7 ปี

    ถ้าเราเพียงแต่พยายามเจริญสติแค่ 10% เท่านั้นของเวลาที่อยู่ในห้องน้ำ มันจะเป็นเท่าไหร่ ก็เท่ากับ 8 เดือนเลย มันก็ไม่น้อย เพราะว่าเรามาเดินจงกรม เข้าคอร์สเดินจงกรมทั้งชีวิตก็คงจะไม่เท่าไหร่ อาจจะอย่างมากก็ 12 เดือน แต่เพียงแค่อยู่ในห้องน้ำอย่างมีสติ 10% ทั้งชีวิตนี้ก็เท่ากับ 8 เดือนเลยทีเดียว ฉะนั้น เมื่อเราพาตัวอยู่มาได้จนกระทั่งจนถึงวันเข้าพรรษา ถ้าเราไม่รีบด่วนตายซะก่อน เราก็จะมีเวลาในการปฏิบัติมากทีเดียว 3 เดือน ให้ตั้งจิตอธิษฐาน อธิษฐานคือตั้งจิตมั่นที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำความดีให้เพิ่มขึ้น หรือว่าลดละ ถ้ายังเลิกไม่ได้ สิ่งแย่ๆ ตั้งใจทำทุกวัน บางอย่างอาจจะดูไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่ามันขัดกับนิสัย แต่ถ้าทำบ่อยๆ อย่างเช่น บางคนชอบบ่น ชอบจู้จี้ ชอบตำหนิ ชอบวิจารณ์ ลองตั้งกติกาของตัวเองว่า เราจะชมคนวันละ 10 คน ทุกวัน ใครที่ชอบบ่น ชอบตำหนิ ชอบวิจารณ์ ก็ลองตั้งจิตอธิษฐานว่า วันหนึ่งเราจะขอบคุณอย่างน้อย 10 คน เชื่อได้เลยว่า 3 เดือนนี้ มันจะทำให้เราเลิกนิสัยจู้จี้ ขี้บ่น หรือชอบตำหนิไปได้เยอะเลย แล้วจะรู้สึกจิตใจมีความสงบเย็นมากขึ้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราสามารถจะนึกขึ้นมาเองได้ ให้มันเหมาะกับตัวเราเอง
  • 20 ก.ค. 67 - ทางออกจากทุกข์อยู่ที่ใจเรา : ก่อนอื่นก็ต้องดูว่า ใจของเรา ความคิดของเรา ทัศนคติของเรา เป็นอย่างไร อะไรที่ทำให้มันเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นเพราะความคิดลบ เป็นเพราะความยึดติด เป็นเพราะความคาดหวัง เป็นเพราะความยึดในความคาดหวังหรือเปล่า อย่าไปโทษภายนอก

    เพราะการมองหรือโทษภายนอกนี่มันมองง่าย เหมือนกับเวลาลิงมีแผลเหวอะหวะ หลายคนก็จะบอกทันทีว่าเป็นเพราะกะปิ แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะความเกลียดกะปิต่างหาก ที่เราทุกข์ ที่เราหงุดหงิด ที่เราไม่พอใจ มันไม่ใช่เพราะสิ่งภายนอกมากระทบกับเราทางตาทางหูทางจมูก แต่เป็นเพราะความรู้สึกลบ ความเกลียด ความไม่ชอบสิ่งนั้นต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นเสียง รูป การกระทำ คำพูดของใคร ถ้าไปแก้ข้างนอกไม่ได้ เพราะมันไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมบังคับบัญชาได้ อย่างน้อยก็รู้จักปรับแก้ที่ใจของตัว นั่นแหละคือมรรค ที่จะพาเราไปสู่นิโรธคือทางออกจากปัญหาได้ อย่าลืมว่า the way out is in
  • 19 ก.ค. 67 - ทำอย่างไรจะหายโกรธ : ถึงแม้เราจะยังไม่สามารถป้องกันไม่ให้ความโกรธ ความเครียด ความทุกข์ใจ เกิดขึ้นได้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ใจก็ยังมีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ ถ้าหากว่ามีสติ สติช่วยทำให้ถอนใจออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น เหมือนกับพาตัวเราออกห่างจากกองไฟ

    และต่อไป พอเรามีปัญญา แม้จะยังไม่อาจจะหมดสิ้นซึ่งความยึดติดถือมั่นในตัวกูของกูได้ แต่ความยึดมั่นที่ว่ามันเบาบางลง ความโกรธก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยลง กองไฟที่มันเกิดขึ้นก็จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยลง เพราะว่าไม่ว่ามีอะไรมากระทบ มีอะไรเกิดขึ้น มันก็ไม่กระทบกับตัวกูอีกต่อไป เพราะว่าไม่มีตัวกูตั้งแต่แรกแล้ว แม้แต่ก้อนหินตกลงมา ถ้าหากว่ามีกระจกขวางอยู่ กระจกก็แตก แต่ถ้าก้อนหินตกลงมา ไม่มีกระจกเลย มันก็ตกลงสู่อากาศธาตุ ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มีคนมาด่า แต่ว่าเราไม่ทุกข์เลย เพราะความโกรธมันไม่ได้มากระแทกกับตัวกู เพราะไม่มีตัวกูตั้งแต่แรก สิ่งที่เขาพูด มันก็เป็นแค่อากาศธาตุ หรือพูดอีกอย่างก็คือ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ใช่เข้าหูซ้ายแล้วเก็บเอาไว้ที่หูขวา แล้วก็มาทุรนทุรายกลัดกลุ้ม ตราบใดที่ยังมีตัวกู มันก็ยังเป็นอย่างนั้น เหมือนกับใครโยนก้อนหินลงมาก็เอาตัวกูไปรับ ก็เจ็บ แต่ถ้าเขาโยนก้อนหินมา เราหลบ ไม่เอาตัวกูเข้าไปรับ มันก็ไม่เจ็บ แต่ที่เจ็บก็เพราะว่าเอาตัวกูเข้าไปรับทั้งนั้น หรือไม่ก็ไปยึด ว่าเป็นของกู
  • 11 ก.ค. 67 - ทุกนาทีมีค่าเมื่อมีสติ : หลายคนก็รู้ว่าเวลาเหลือน้อยแต่ว่าใจมันก็ยังไปจมอยู่กับความทุกข์ ความโศกเศร้า ความหงุดหงิด ปล่อยวางไม่ได้กับเงินที่สูญไป หรือเงินที่จ่ายเกิน รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรจะไปหมกมุ่น แต่ว่ามันก็ยังหมกมุ่น อันนี้เพราะว่าไม่มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ ตรงนี้แหละที่เรียกว่า สัมมาสติ

    ถ้าเรามีสติโดยเฉพาะสติที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ การที่ใจมันจะไม่ไปจมอยู่กับความทุกข์เพราะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ เพราะพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ มันก็จะเกิดขึ้นน้อยลง และทำให้มาอยู่กับปัจจุบัน และชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่กับปัจจุบัน หรือทำสิ่งที่ทำให้เวลาที่มีอยู่เกิดประโยชน์ อันนี้เรียกว่าทำปัจจุบันให้มีคุณค่า ซึ่งก็เป็นการเพิ่มสุขให้ใจ ไม่ใช่มาซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ใจ ฉะนั้น เราจะใช้เวลาให้มีคุณค่าได้มันต้องมีสติด้วย เพราะถ้าไม่มีสติมันก็หลุดลอยไปกับความทุกข์ยามที่เจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ไม่ว่าเกิดขึ้นกับทรัพย์ เกิดขึ้นกับร่างกาย เกิดขึ้นความสัมพันธ์ หรือเกิดขึ้นกับหน้าตา
  • 10 ก.ค. 67 - ดูแลตัวกูไม่ให้กำเริบ : คนจำนวนไม่น้อย เวลาต้องการอวด ต้องการประกาศตัวตน ไม่รู้ตัวเลยนะว่ามันเป็นการประจานตัวเอง ว่ามีความยึดติดถือมั่นในตัวตน หรือว่าหลงอยู่ในอำนาจของตัวมานะมาก อยากจะประกาศว่านี่กูนะ นี่กูเก่งนะ นี่กูดีนะ แต่ว่ามันกลับเป็นการเผยให้คนเห็นว่า ที่พูดมากิเลสทั้งนั้น หรือเป็นความหลงยึดหลงติดในตัวกูทั้งนั้นแหละ

    แล้วเดี๋ยวนี้มีแบบนี้เยอะเลย เห็นได้ทางโซเชียลมีเดีย ทางเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม การประกาศตัวตนโดยไม่รู้ตัว เพื่อเรียกร้องเรตติ้ง หรือเพื่อแสวงหาคำชื่นชมสรรเสริญ เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว แต่โดยที่ไม่ได้คิดว่า มันเป็นตัวที่ทำให้กิเลสครองใจ แล้วสุดท้ายตัวเองก็ทุกข์ ทุกข์ที่คนไม่เห็นความเก่งของเรา จนต้องอวด เพราะถ้าไม่อวด เขาก็จะไม่เห็นความดีของเรา ไม่เห็นความเก่งของเรา หรือบางทีอวดแล้ว ปรากฏว่าคนก็ยังไม่ได้ชื่นชมสรรเสริญมากเท่าไหร่ ก็ทุกข์ เดี๋ยวนี้เพียงแค่โพสต์อะไรไปแล้วคนไม่กดไลค์หรือคนกดไลค์น้อยก็ทุกข์แล้วนะ นี่ขนาดยังไม่ได้โดนตำหนิ ยังไม่ได้โดนทักท้วง ยิ่งถ้าเกิดถูกทักท้วง ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ คนเดี๋ยวนี้ผิวบางมาก แตะต้องไม่ได้ ทักท้วงไม่ได้ เพราะว่าปล่อยให้กิเลสครองใจ
  • 8 ก.ค. 67 - ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับใจที่ขาดสติ : พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า โจรกับโจรทำร้ายกัน มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายมากเท่ากับจิตที่ฝึกไว้ผิด หรือจิตที่วางไว้ผิด จิตที่ฝึกไว้ผิดหรือจิตที่วางผิด ก็คือจิตที่ปรุงแต่งในทางลบทางร้าย จินตนาการ แล้วก็เชื่อความคิด เชื่อจินตนาการนั้น อันนี้ยังรวมไปถึงจิตที่ยึดติดถือมั่นในสิ่งที่เป็นอดีตไปแล้วรวมอยู่ด้วย เช่น คนที่สูญเสียทรัพย์ บ้านถูกยึด ไฟไหม้ หรือสูญเสียคนรัก

    ที่จริงความสูญเสียนั้นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับสิ่งภายนอก สิ่งนอกตัว แต่พอไปยึดติดถือมั่น วางไม่ได้ มันก็ส่งผลทำร้ายจิตใจ หรือทำให้จิตใจเกิดการปรุงแต่งในทางลบทางร้าย จนกระทั่งมันทำร้ายร่างกายของตัวเอง เริ่มต้นที่หัวใจก่อน หัวใจแย่ แล้วหัวใจก็ทำให้อวัยวะส่วนอื่นพลอยเสียหายไปด้วย ฉะนั้นให้เราตระหนักว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดมันไม่ใช่อะไรอื่น แต่มันคือใจของเรา ใจถ้าหากว่าฝึกไว้ดี ก็สามารถจะนำสิ่งดี ๆ มาให้กับเราอย่างที่พ่อแม่ให้ไม่ได้ อันนี้ก็เป็นพุทธภาษิต สิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เราควรจะได้ก็มาจากใจนั่นแหละ แม้แต่พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ก็ทำให้ไม่ได้ นั่นคืออะไร คือความสุข ความอิสระ นิพพานซึ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดเท่าที่มนุษย์เราพึงจะเข้าถึงได้ แม้กระทั่งเทวดา มาร พรหม ก็ไม่อาจจะเข้าถึงได้ดีเท่ามนุษย์ ก็เกิดขึ้นได้ บรรลุได้ก็ด้วยใจของเรานั่นแหละ ใจที่ฝึกไว้ดี แม้จะเจอความสูญเสีย เจอความทุกข์ เจอความเจ็บป่วยอย่างไร ใจก็ยังผ่องแผ้วอยู่ได้
  • 7 ก.ค. 67 - ธรรมะไม่ใช่เรื่องยาก : การปฏิบัติจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ยาก เวลาใครมาถามว่าจะปฏิบัติอย่างไร ก็บอกเขาว่าให้อยู่กับปัจจุบัน ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น ทำอะไรก็ทำด้วยใจเต็มร้อย ตัวอยู่ในห้องน้ำใจก็อยู่ห้องน้ำ ตัวอยู่บนที่นอนก็ใจก็อยู่ในห้องนอน ไม่ใช่ไปอยู่ที่อื่น การปฏิบัติแบบนี้นี่ที่เรียกว่าสร้างสติทำความรู้สึกตัว มันก็จะช่วยทำให้การรักษาศีลเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าหากว่ามีสติ ความรู้สึกตัวแล้ว โลภะโทสะก็จะมาครอบงำได้ยาก มันก็จะบังคับให้ผิดศีลได้ยาก มันก็เป็นการเสริมการสมาทานศีลการรักษาศีล แล้วมันก็ไปส่งเสริมปัญญาด้วย ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องของกายและใจ ต่อไปก็จะเข้าใจ เห็นเลยว่ามันไม่มีตัวเรา มันมีแต่รูปกับนาม กายก็ไม่ใช่เรา ใจก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราทั้งกาย ไม่ใช่ของเราทั้งใจ มันก็จะเห็นสัจธรรมความจริงจากการปฏิบัติ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องยาก

    มันอยู่ที่การปฏิบัติ อยู่ที่ความเพียรนั่นแหละ การปฏิบัติไม่ใช่ยาก แต่ยากตรงที่การลงมือปฏิบัติ และทำอย่างต่อเนื่อง ที่จริงพุทธศาสนา สาระสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ก็อย่างที่ท่านพอมยุมบอก อยู่ที่ไหนถ้าทำใจให้สงบบริสุทธิ์สะอาด ตรงนั้นก็เป็นวัดแล้ว การปฏิบัตินั้นก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติชอบ และนี่คือพุทธศาสนา พุทธศาสนาไม่ได้มีพิธีกรรมอะไรมาก ส่วนเรื่องหลักธรรมนี่ก็เป็นสิ่งที่ตามมาทีหลังจากการปฏิบัติ ถ้าเราทำให้พุทธศาสนานี่เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะไม่ใช่ง่ายต่อการเข้าใจเท่านั้น แต่ง่ายต่อการปฏิบัติด้วย คนก็จะเห็นคุณค่าของพุทธศาสนามากขึ้น แล้วก็เอาพุทธศาสนาหรือการปฏิบัตินี่มาช่วยแก้ปัญหาชีวิตของตนได้
  • 6 ก.ค. 67 - ความจริงอาจไม่เป็นอย่างที่เห็น : ถ้าเราเห็นความจริงว่า รูปและนาม กายและใจ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เวลามีความปวดก็ไม่ใช่เราปวด ถ้าเห็นความจริงแบบนี้ เวลามีความปวดมันทุกข์น้อยกว่า คนที่เห็นว่าที่ปวดนี่คือกายปวด ไม่ใช่เราปวด ที่โกรธนี่มันคือความโกรธ ไม่ใช่เราโกรธ มันช่วยทำให้หลุดจาก หรือเพลา หรือเบาจากความทุกข์ไปได้เยอะเลย คนที่ทุกข์มากเพราะว่าไม่ได้คิดว่ากายปวด แต่ไปคิดว่ากูปวด ไปสำคัญมั่นหมายว่าความโกรธเป็นกู เป็นของกู

    นี่ก็เหมือนกัน ความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างที่เห็น หรือสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง แล้วเห็นอีกว่ามันมีกูมีของกู เห็นอยู่ว่าเราโกรธ เราดีใจ แต่จริง ๆ ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เพราะมันไม่มีเราตั้งแต่แรก จะเห็นความจริงให้ได้นี่ ต้องมีสติเบื้องต้น เห็น ไม่เข้าไปเป็น เมื่อเห็นไม่เข้าไปเป็น มันก็จะเห็นเลยว่าความโกรธนี้อันหนึ่ง ใจก็อันหนึ่ง ความปวดก็อันหนึ่ง กายก็อันหนึ่ง จะว่ากายปวดก็ไม่เชิง เพราะว่าความปวดก็เพียงแต่อาศัยกายเป็นที่เกิด แล้วยิ่งไปคิดว่ากูปวดฉันปวดด้วยแล้วนี่ มันก็ยิ่งคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงมาก แต่เพราะไม่เห็นความจริงนี่แหละจึงทุกข์กันเยอะ เวลาปวดก็กูปวด กูปวดมันก็เลยยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เป็นการซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้กับใจ ฉะนั้น ที่ว่าความจริงเป็นมากกว่าที่เห็น หรือสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริงเสมอไป อันนี้มันเป็นเรื่องที่น่าพิจารณา ทั้งในทางโลกและทางธรรม เวลาจะซื้อของอะไรหรือเวลาเจอโชค ก็ให้รู้ว่ามันอาจจะไม่ใช่โชคดีอย่างเดียวก็ได้ มันอาจจะแฝงโชคร้ายเอาไว้ หรือเวลาเจอโชคร้าย ก็ให้รู้ว่ามันอาจจะเป็นโชคดีที่แฝงอยู่ก็ได้ ความจริงอาจจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เห็น เป็นข้อเตือนใจที่สำคัญมาก
  • 5 ก.ค. 67 - ปฎิบัติเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น : ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา มันก็ดีทั้งนั้นถ้าเรารู้จักใช้ เพราะฉะนั้นเวลาปฏิบัติถ้าเรารู้จักมองได้ประโยชน์จากสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าบวกหรือลบ แม้ว่ายังไม่ทันได้ความสงบ ยังไม่ทันได้สติ ไม่ทันได้ความรู้สึกตัว แต่ก็ได้เรียนรู้ได้เห็นอะไรหลายอย่างจากใจของเรา ซึ่งอันนี้เป็นตัวเพิ่มปัญญาให้เจริญงอกงามมากขึ้น และถ้ามองให้เป็น มันได้ทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติแล้ว ได้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่าจะมองเป็นหรือเปล่า หรือว่าอยู่ที่จะหาประโยชน์จากมันได้หรือเปล่า

  • 4 ก.ค. 67 - คาดหวังน้อยก็ทุกข์น้อย : แต่ผู้คนไม่ค่อยตระหนักว่าความทุกข์ใจของตัว แท้จริงไม่ได้เกิดจากคนอื่น มันเกิดจากความคาดหวังของเราเอง อย่างที่เราสวดทุกเช้า “มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์” การที่เราไม่ได้อะไรนี้ มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ถ้าหากว่าสิ่งที่เราไม่ได้นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา

    การที่เราแค่ไม่ได้อะไรนี้ มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ จนกว่าเราจะปรารถนาสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็น สส. ไม่ได้เป็น สว. เราทุกข์หรือเปล่า เราไม่ทุกข์เพราะเราไม่อยาก ต้องมีความอยากก่อน แล้วไม่ได้จึงจะทุกข์ พูดอีกอย่างก็คือว่า ความอยากคือเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่เพราะไม่ได้ เราไม่ได้อะไรตั้งหลายอย่าง ทำไมเราไม่ทุกข์ ก็เราไม่ได้อยากได้สิ่งเหล่านั้น เมื่อไม่ได้ เราก็ไม่ทุกข์ รางวัลที่ 1 เราก็ไม่ได้อยากได้ เพราะฉะนั้นถึงไม่ได้รางวัลที่ 1 หรือว่าเลขท้าย 2 ตัว เราก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่ได้มีความคาดหวัง ไม่ได้มีความอยาก ในทางตรงกันข้าม ได้อะไรแล้ว แต่ถ้าเราไม่อยากหรือไม่คาดหวัง บางทีอาจจะทุกข์ เช่น กินข้าวอิ่มแล้ว แต่ก็ยังมีคนเอาของมาให้กิน ทั้งที่อร่อยแต่เราไม่อยากแล้วเพราะเราอิ่ม หรือไม่มีการเจริญอาหาร การกินเข้าไปมันทำให้พะอืดพะอม ทั้งที่เป็นของอร่อย ของดี แต่เราไม่อยาก ลองมาคิดดูดี ๆ การที่เราเจออะไร จริง ๆ สิ่งที่เราเจอไม่ได้ทำให้เราทุกข์หรอก แต่ถ้าหากว่าเราจะทุกข์ก็เพราะเราไปคาดหวังในสิ่งที่มันไม่เป็นจริง หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ตรงกับความคาดหวัง
  • 3 ก.ค. 67 - ปฎิบัติธรรมทำไม ในเมื่อยังไม่ทุกข์ : เราไม่ควรจะรอให้เกิดความทุกข์เสียก่อน ทุกข์มาถึงตัวถึงค่อยสนใจปฏิบัติธรรม ในขณะที่เรามีสุขภาพดี มีการงานที่ราบรื่น ครอบครัวอบอุ่น ควรเป็นเวลาสำหรับการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติอะไร

    อย่างน้อย หนึ่ง ให้รู้จักรักษาใจ ให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยใจให้หลงไปอยู่กับอดีต จมในอนาคต ปรุงแต่งกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง อดีตผ่านไปแล้ว แม้เจ็บปวดเพียงใดก็ไม่ควรจะไปจมปลักอยู่กับมัน อนาคตมันจะเลวร้ายอย่างไรก็ยังไม่รู้ อย่าไปปรุงแต่งล่วงหน้า ถ้าหากรู้จักเอาใจอยู่กับปัจจุบัน ก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ เพราะทุกวันนี้เราซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง ด้วยการปล่อยใจให้จมอยู่กับอดีต หรือไม่ก็ไปรออยู่อนาคต สอง รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ เพราะว่าคนเราทุกข์ก็เพราะความคิด แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก ทุกข์เพราะหลงไปในความคิดต่างหาก ทุกข์เพราะหลงเข้าไปในอารมณ์ ถ้าหากว่ารักษาใจไม่ให้หลงเข้าไปในความคิด ไม่ให้หลงเข้าไปในอารมณ์ได้ มันคิดก็คิดไป แต่ใจไม่ไหลไปกับมัน จะมีความโกรธเกิดขึ้นในใจ จะมีความเครียดเกิดขึ้นในใจ ก็รู้ทัน ไม่เข้าไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เรียกว่าเห็น ไม่เข้าไปเป็น นี่ก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ หรือถ้าให้ดีก็คือ เปิดใจเห็นสัจธรรมความจริง ว่ามันไม่มีอะไรเที่ยง มีขึ้นมีลง มีกับหมด ได้กับเสีย เจอกับจาก พบกับพราก เป็นของคู่กัน ถึงเวลาเจอความสูญเสียพลัดพราก เจอความเจ็บป่วย มันก็ไม่ทุกข์ เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา อันนี้แหละคือความหมายของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อให้ใจสงบ หรือว่าพาใจออกจากปัญหา หรือหนีปัญหาชั่วคราว แต่แม้กระนั้นแค่นี้ก็ยังดี เพราะพอเราพาตัวออกจากปัญหา หรือได้พักใจสักหน่อย ก็ทำให้พอมีสติมีกำลังที่จะไปสู้ต่อไป บางทีเราต้องรู้จักเว้นวรรคให้กับชีวิตบ้าง หรือว่ารู้จักสับสวิตช์ คือสับคัตเอาท์ ไม่ใช่ปล่อยให้มันคิดเรื่อยเปื่อยไป จนกระทั่งเป็นทุกข์หนักขึ้น อย่างน้อยเรารู้จักพักมันบ้าง หรือรู้จักสับคัตเอาต์ รู้จักเว้นวรรคให้กับความคิด รู้จักพักใจ อย่างนี้ยังช่วยได้ แต่จะให้ดีก็ต้องเปิดใจให้เห็นสัจธรรมความจริง จนกระทั่งไม่หลงเพลิดเพลิน ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายที่มีที่เป็น เมื่อไม่ยึดมั่น ถึงเวลามันแปรปรวนไป ใจก็ไม่ทุกข์
  • 25 มิ.ย. 67 - ทุกข์เพราะใจ ได้กลายเป็นเสีย : ถ้าเรานึกแบบนี้เอาไว้ก่อน มันก็ไม่ทุกข์มากหากว่าจะต้องเจอ แล้วเรื่องนี้ยังสอนอีกนะ คนหลายคนมักจะถือคติว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก พอมีลดราคาก็รีบซื้อก่อน ก่อนที่จะหมดโอกาส แต่พอซื้อไปแล้วถึงค่อยพบว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม คนเราบางทีมันก็ยากนะว่าเมื่อไหร่น้ำขึ้นให้รีบตัก

    หลายคนถือคตินี้แหละ น้ำขึ้นให้รีบตัก พอเขาลดราคาก็รีบซื้อเลย กลัวหมด แต่พอผ่านไปสองสามอาทิตย์ สองสามเดือนมันลดกระหน่ำยิ่งกว่าเดิม รู้อย่างนี้รอดีกว่า คนเราบางทีต้องรู้จักถือคติช้าๆได้พร้าเล่มงาม ก็คงไม่มีเหตุจะต้องทุกข์ เป็นเพราะเราเชื่อว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ก็เลยต้องมาเสียใจ แต่ถ้าวางใจถูกมันก็ไม่มีเหตุผลต้องเสียใจ ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่เป็นเรื่องได้หรือเสีย มันเป็นเรื่องการมอง มองไม่เป็นได้คือเสีย มองไม่ถูกมากก็คือน้อย มองไม่เป็น ซื้อถูกก็เข้าใจว่าซื้อของแพง ต้องกลับมาทักท้วงใจเราบ้าง อย่าปล่อยให้ใจมันเล่นตลกหรือปั่นหัวเรา ปัญหาที่ไปเชื่อความคิดในหัวเรามากเกินไป มันถึงทุกข์ กลุ้มใจจนนอนไม่หลับใจได้กลายเป็นเสีย